หลังน้ำลดภาคใต้สถานการณ์เปลี่ยน พรรคภูมิใจไทยเริ่มตีตื้น คะแนนพุ่งเท่าตัว โดยความนิยมในพรรคประชาชน และหัวหน้าพรรคอย่างณัฐพงษ์นำโด่ง

จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้อ่านไทยรัฐออนไลน์ในหัวข้อ “สำรวจความนิยมของพรรคการเมืองและแคนดิเดตนายกฯ ธันวาคม 2568” ซึ่งสำรวจระหว่างวันที่ 6-12 ธันวาคม 2568 จากกลุ่มตัวอย่างกว่า 34,248 คน ได้สะท้อนภูมิทัศน์การเมืองที่เริ่มมีความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ จากพรรคประชาชน ยังคงครองความนิยมเป็นอันดับ 1 ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่คนอยากได้ ด้วยคะแนน 27.70 เปอร์เซ็นต์ สอดคล้องกับความนิยมของพรรคประชาชน ที่นำโด่งอยู่ที่ 37.27 เปอร์เซ็นต์ ทิ้งห่างพรรคเพื่อไทยที่มีความนิยม 14.04 เปอร์เซ็นต์

ประเด็นที่น่าจับตามองเป็นพิเศษจากการสำรวจครั้งนี้ คือสัญญาณการฟื้นตัวของพรรคภูมิใจไทย และนายอนุทิน ชาญวีรกูล หลังจากที่ก่อนหน้านี้ในช่วงวิกฤตน้ำท่วมภาคใต้ตอนล่าง ผลสำรวจเคยชี้ว่าเรตติ้งลดฮวบจนน่าตกใจ โดยคะแนนนิยมส่วนตัวของนายอนุทินเคยหล่นไปอยู่ที่ 4.83 เปอร์เซ็นต์ และพรรคภูมิใจไทยเหลือเพียง 5.32 เปอร์เซ็นต์ 

อ่านเพิ่มเติม: เรตติ้งอนุทินลดฮวบ ศุภจีแรงแซงหน้าเกือบเท่าตัว สัญญาณเตือนพรรคสีน้ำเงินหลังน้ำท่วม

แต่การสำรวจล่าสุด พบว่าคะแนนนิยมได้ตีตื้นขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ โดยนายอนุทินขยับขึ้นมาเป็นเต็ง 3 ด้วยตัวเลข 8.28 เปอร์เซ็นต์ แซงหน้านางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ที่เคยมาแรงในช่วงก่อนหน้า อย่างไรก็ดี ถ้าหากนับในเชิงบุคคลแล้ว ศุภจีเป็นเต็ง 5 ด้วยคะแนน 6.25 เปอร์เซ็นต์ ส่วนตัวพรรคภูมิใจไทย ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 9.24 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแม้ยอดจะยังไม่สูงเท่ากลุ่มผู้นำ แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่าฐานเสียงเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตน้ำท่วม

...

อีกหนึ่งปรากฏการณ์สำคัญที่พบในการสำรวจรอบนี้ คือการสลายตัวของกลุ่มพลังเงียบ เมื่อเทียบกับโพลช่วงน้ำท่วมภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งมีผู้ตอบว่า "ยังไม่ตัดสินใจ" สูงถึง 26.17 เปอร์เซ็นต์ มาในครั้งนี้ตัวเลขดังกล่าวลดวูบเหลือเพียง 7.68 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น 

ในขณะที่กลุ่ม "ไม่สนับสนุนพรรคใด" ก็ลดลงจาก 13.09 เปอร์เซ็นต์เหลือเพียง 5.21 เปอร์เซ็นต์ แสดงให้เห็นว่าประชาชนเริ่มตัดสินใจเลือกข้างชัดเจนขึ้น โดยคะแนนที่ไหลออกจากกลุ่มพลังเงียบได้กระจายไปยังพรรคการเมืองต่างๆ ส่งผลให้คะแนนขยับขึ้นถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็น พรรคเพื่อไทย ที่ขยับจาก 10.45 เปอร์เซ็นต์ เป็น 14.04 เปอร์เซ็นต์ พรรคประชาธิปัตย์ จาก 8.04 เปอร์เซ็นต์ เป็น 10.37 เปอร์เซ็นต์ รวมถึง พรรคประชาชน ที่ได้อานิสงส์สูงสุด ขยับจาก 26.11 เปอร์เซ็นต์ พุ่งขึ้นไปแตะระดับ 37.27 เปอร์เซ็นต์

ผลสำรวจครั้งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องชี้วัดคะแนนนิยมปกติ แต่เป็นสัญญาณว่า พื้นที่ตรงกลาง ทางการเมืองกำลังลดน้อยลง ประชาชนกลุ่มที่เคยลังเลเริ่มปักธงเลือกข้างแล้ว โดยมีพรรครัฐบาลอย่างภูมิใจไทย ก็เริ่มตั้งหลักดึงศรัทธากลับมาได้บ้างแล้วหลังผ่านพ้นช่วงวิกฤตภัยพิบัติ