“ณัฐพงษ์” แจงกระบวนการเลือกแคนดิเดตนายกฯ ยันไปต่อได้แม้มีคดี 44 สส. ขอพิจารณาก่อนจับกับใครหากต้องเป็นรัฐบาลผสม เลี่ยงตอบ สส.ไหลเข้าภูมิใจไทยผิด MOA หรือไม่ “ไหม” ลั่นเป้าหมายรัฐบาลพรรคเดียว


เมื่อเวลา 16.48 น. วันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 3 คนของพรรคประชาชน ในการเลือกตั้ง 2569 คือ ลำดับที่ 1 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ลำดับที่ 2 น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชนฝ่ายนโยบาย และลำดับที่ 3 รศ.วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชนฝ่ายยุทธศาสตร์

ผู้สื่อข่าวถามเรื่องการเลือกแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี นายณัฐพงษ์ ตอบว่า เรื่องการตำแหน่งในฝ่ายบริหารสูงสุดอย่างแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี อาจจะใช้กระบวนการซึ่งเป็นการตัดสินใจของฝ่ายบริหารและการมีส่วนร่วม เชื่อว่าการเปิดมา 3 ชื่อนี้ เป็นชื่อที่ทุกคนให้การยอมรับ ทั้งสมาชิกพรรคและโหวตเตอร์ ซึ่งการตัดสินใจตำแหน่งสำคัญๆ ต้องใช้อำนาจฝ่ายบริหารระดับหนึ่ง แต่เชื่อมั่นว่าตนเองตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง

ส่วนเรื่องคดี 44 สส. ที่อยู่ในระหว่างกระบวนการนั้น นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า คดี 44 สส. อยู่นอกเหนือความควบคุมของพวกเรา เชื่อว่าการที่พวกเราลงชื่อในการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 เป็นการใช้อำนาจหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาในฐานะ สส. พวกเราตัดสินใจเลือกแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีตามความเหมาะสม ความรู้ ความสามารถ ปัญหาประเทศคือ ไทยไม่เทา ไทยเท่ากัน ไทยทันโลก ซึ่งเรื่องการประเมินความเสี่ยงทางการเมืองก็มีการประเมินไว้ด้วย แต่ก็ยังเชื่อว่าพวกเราบริสุทธิ์ยุติธรรมในการยื่นแก้ไขกฎหมายที่ผ่านมา ไม่ได้เลือกด้วยความพยายามหลบเลี่ยงประเด็นทางการเมืองอะไร

...

“ถึงวันนั้นถ้ามีการตัดสินออกมาจริงๆ ที่ผมกับพี่ไหม(ศิริกัญญา) ก็อยู่ในข่าย 44 สส. ถ้าจะต้องมีอุบัติเหตุทางการเมือง เราก็พร้อมที่จะไปต่อ และผมก็เชื่อมั่นว่าทีมงานของพรรคประชาชนทุกคน ณ ขณะนี้เรายังมีบุคลากรที่มีความสามารถอีกหลายคน พร้อมที่จะขึ้นมาทำหน้าที่”


ในคำถามว่าหากนายณัฐพงษ์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แคนดิเดตอีก 2 คนที่เหลือจะมีตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีด้วยหรือไม่ นายณัฐพงษ์ ตอบว่า ตนพูดได้เต็มปากว่า 2 คนนี้อย่างไรก็ต้องอยู่ในคณะรัฐมนตรีฝ่ายบริหารอยู่แล้ว ไปไหนไม่พ้นแน่นอน แต่จะอยู่ในกระทรวงไหนขอให้รอการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงการเข้าสู่การเลือกตั้ง

ทางด้านคำถามหากต้องเป็นรัฐบาลผสม หัวหน้าพรรคประชาชน ระบุว่า เรื่องของการจับมือขอยกตัวอย่างการทูตเป็นหลัก คิดแบบไม่จำเป็นต้องเลือกข้าง แต่เลือกวาระ ตนก็คิดเช่นนั้น เราเอาโจทย์สำคัญๆ ของประเทศเป็นตัวตั้ง ทุกนโยบายที่เรานำเสนอมาใน 2 วันนี้ ถ้าไม่ได้เป็นพรรคการเมืองที่มีผู้สืบทอดอำนาจมาจากการปฏิวัติรัฐประหารโดยตรง เป็นผู้บริหารพรรค หรือไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น และสามารถยอมรับชุดนโยบายของเราได้ คล้ายกับการกาง TOR ตอนโหวตนายกรัฐมนตรี เราก็คงกาง TOR เช่นกัน เปิดเผยให้ประชาชนเห็น โปร่งใส ตรงไปตรงมา ใครรับเงื่อนไขได้ มาพูดคุยกับเราอย่างรวดเร็วและจริงใจ คิดว่าก็มีความเป็นไปได้หมด แต่ถ้ามีมากกว่า 1 ก็ต้องพิจารณาว่าใครที่เราดูแล้วจะสามารถร่วมงานกับเราได้อย่างตลอดรอดฝั่ง

ขณะที่คำถามถึงการเปิดตัวคนร่วมพรรคภูมิใจไทยเพิ่มขึ้นผิด MOA หรือไม่ นายณัฐพงษ์ บอกว่า ไม่อยากไปตอบแทนว่าผิดหรือไม่ผิด ทุกอย่างยังอยู่ในกรอบ MOA ถ้ามีข่าวมาว่าจะมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ มาตรา 151 แล้วมีการชิงยุบสภาก่อน นั่นก็แปลว่าพรรคภูมิใจไทยเองหรือรัฐบาลชุดปัจจุบันก็ยังคงเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย หากดูตามบริบทการเมืองในปัจจุบัน การให้สัมภาษณ์ต่างๆ ของนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) ที่ออกมา ก็เชื่อว่ายังเป็นเสียงข้างน้อยอยู่ และเรายังมีอำนาจในการกำกับดูแลตรงนั้นอยู่ ส่วนเรื่องจากการดึง สส. ไปร่วมกันมากขึ้น หรือจะเรียกหลังดูด ไม่ใช่สิ่งที่พรรคประชาชนทำการเมืองแบบนั้น เราทำการเมืองแบบคนธรรมดาที่ต้องการสร้างการเมืองเพื่อความเปลี่ยนแปลง พรรคไหนจะดูดกันอย่างไร ใครเป็นรัฐบาลแล้วได้ สส. มากขึ้นก็ให้เขาทำไปในรูปแบบของเรา เราก็ทำในรูปแบบของเรา


ส่วนเรื่องอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคประชาชนจะช่วยโหวตไว้วางใจหรือไม่ นายณัฐพงษ์ ตอบว่า “ต้องขอดูเนื้อหาในการอภิปรายก่อน เรายึดที่เรื่องเนื้อหาในการอภิปรายเป็นตัวตั้ง ถ้าพรรคเพื่อไทยมีของจริง ไม่ได้ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเนื่องด้วยเกมทางการเมืองอย่างเดียว แล้วเราเห็นว่ารัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายแต่ละท่าน รวมถึงตัวนายกฯ ไม่ไหวจริงๆ มีข้อมูลที่ทุจริตคอร์รัปชั่น มีใบเสร็จจริงๆ ตัวผมเอง เพื่อนร่วมพรรค ก็ไม่สามารถที่จะโหวตอุ้มได้อยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดูของก่อน”

หากผลการเลือกตั้งครั้งหน้าออกมาแล้วหวั่นอะไรมากที่สุด ทั้งเรื่องได้คะแนนมากที่สุดแต่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ หรือเรื่องคดีที่มีอยู่ โดย น.ส.ศิริกัญญา ตอบประเด็นนี้ว่า “จริงๆ แล้วเราหวั่นใจเรื่องเดียวที่น่าจะเป็นปมในใจเราตั้งแต่ปี 2566 นั่นก็คือการชนะเลือกตั้งแล้วไม่ได้เป็นรัฐบาล เราเข้าใจเงื่อนไขดี รอบนี้ถึงแม้ว่าจะไม่มี สว. แล้วก็ตาม แต่การชนะแบบไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ได้การันตีว่าเราสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เลย ดังนั้น มันไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเราถึงมีเป้าหมายที่ทะเยอทะยานขนาดนี้ ที่อยากจะเป็นรัฐบาลพรรคเดียว เพราะการได้ต่ำกว่า 250 แทบจะเป็น 80-90% ว่าเราอาจจะเป็นฝ่ายค้านอีกครั้งหนึ่ง และเราเข้าใจดีว่าประชาชนไม่อยากที่จะรออีกต่อไป ประชาชนอยากให้เราเป็นรัฐบาลจะแย่แล้ว ดังนั้น เรื่องนี้เรื่องเดียวที่เรายังต้องทำงานอย่างแข็งขันมุ่งมั่นเพื่อให้พรรคประชาชนได้จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว”

อย่างไรก็ตาม นายณัฐพงษ์ ยังได้ยืนยันกระบวนการคัดเลือกว่าที่ผู้สมัคร สส. ว่ามีความโปร่งใส และมีส่วนร่วมมากที่สุดพรรคการเมืองพรรคหนึ่งในประเทศ ซึ่งในความเป็นพรรคที่มีความเป็นประชาธิปไตยในพรรคสูง ก็เป็นเรื่องที่อาจมีการส่งเสียงสะท้อนออกมา ซึ่งก็เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า พรรคไม่ใช่ผู้กุมบังเหียนในการแสดงความคิดเห็นความเห็นของใคร ดังนั้นคนที่รู้สึกผิดหวังกับกระบวนการที่ผ่านมา ต้องบอกว่าเรามองเห็นและให้กำลังใจต่อ ยืนยันว่าในฐานะผู้บริหาร เราพยายามออกแบบกลไกที่มีส่วนร่วมและเปิดกว้างให้กับทุกคนมากที่สุด ถ้าจะขอเรียกร้องกลับไปเพียงแค่อย่างเดียวคือ ลองถามคนที่เข้ามาเป็นแคนดิเดตของพรรคตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันว่า คุณเข้ามาสมัครเป็นแคนดิเดตเพราะอะไร ถ้าบอกว่าอยากมาช่วยกันสร้างการเปลี่ยนแปลง การเป็น สส. คือหมวกหนึ่งใบที่คุณพร้อมถอดได้เสมอ วันหนึ่งที่ถ้าคุณไม่ได้ถูกเลือกเป็นแคนดิเดต สส. ก็ยังมีช่องทางอื่นอีกเยอะที่จะมาช่วยกันขับเคลื่อนงานการเมือง โดยที่ไม่ใช่ สส.ก็ได้ ต้องถามใจตัวเองว่าอยากมาทำงานเพราะอะไร

ในช่วงท้ายผู้สื่อข่าวถาม รศ.วีระยุทธ ว่าถ้าได้เป็นนายกรัฐมนตรีจริงๆ จะทำอะไรบ้างในนโยบายไทยทันโลก รศ.วีระยุทธ ขอยืนยันว่า เราทำงานเป็นทีม นายณัฐพงษ์ จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่เหมาะสมกับสถานการณ์ประเทศไทยปัจจุบันมากที่สุด เพราะเราต้องการคนที่ 1.แก้ปัญหาเป็นระบบ 2.เราต้องการเติมความเป็นดิจิทัลเข้าไป ทั้งระบบราชการไทย และ SMEs และ 3.สุดท้ายสำคัญที่สุด คือความเข้มแข็ง ความมุ่งมั่น เอาจริง ซึ่งตนยืนยันว่า นายณัฐพงษ์มีครบทั้ง 3 ข้อ