“อนุทิน” เปิดตัว “วราวุธ-สนธยา-ปิยะ” ทำงานการเมืองสู้ศึกเลือกตั้งหน้าในนามพรรคภูมิใจไทย “ท็อป” แจง ย้ายมาเห็นพ้องกันทั้งพรรค “สนธยา” ยัน ชลบุรีเดินไปด้วยกัน ด้าน “ปิยะ” โยน “อนุทิน คุยสาธิต” บอกเจ้านายลูกน้องน่าจะคุยกันได้
วันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 เมื่อเวลา 14.42 น. ที่พรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พร้อมด้วยนายสุชาติ ชมกลิ่ม รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา นายสนธยา คุณปลิ้ม นายปิยะ ปิตุเตชะ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง พร้อมสมาชิกพรรค ร่วมกันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า
วันนี้พรรคภูมิใจไทยได้มีโอกาสต้อนรับผู้ที่จะมาร่วมการทำงานทางการเมืองด้วยกันในนามพรรคภูมิใจไทย ภายหลังที่มีการยุบสภาและมีการเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นไปตามผู้สื่อข่าวที่เสนอข่าวไปก่อนหน้านี้ แต่วันนี้ก็ถือโอกาสมายืนยันอย่างเป็นทางการว่าในการเลือกตั้งครั้งต่อไปพรรคภูมิใจไทยก็จะมีกลุ่มของทางนายวราวุธมาพร้อมกับสมาชิกที่สังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา รวมถึงมีนายสนธยา คุณปลิ้ม ที่จะมาทำงานการเมืองด้วยกันในนามพรรคภูมิใจไทย ในแถบชลบุรี ส่วนในจังหวัดระยองมีนายปิยะ ปิตุเตชะ ที่จะมาทำการเมืองร่วมกัน โดยเราได้มีการหารือถึงนโยบายและแนวทางการดำเนินงานของพรรคภูมิใจไทยกับทุกคน ซึ่งล้วนแล้วแต่มีเจตนารมณ์เดียวกันที่ตั้งใจจะมาอาสาทำงานรับใช้ประเทศชาติ ประชาชนและทำความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศไทยให้มากที่สุดด้วยประสบการณ์ ด้วยศักยภาพ และเครือข่ายต่างๆ ที่เรามีอยู่
“ก็เป็นอันชัดเจนว่าเมื่อมีการยุบสภา ท่านทั้งหลายก็จะมาร่วมกันทำงานด้วยกันเพื่อรับใช้บ้านเมืองรับใช้ประชาชนในนามพรรคภูมิใจไทย” นายอนุทิน กล่าว
...
“วราวุธ” แจงย้ายมาภูมิใจไทยเป็นมติเห็นพ้อง ย้ำ ชทพ. ยังอยู่
เมื่อถามว่าเหตุใดนายวราวุธจึงตัดสินใจมาร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทย นายวราวุธกล่าวว่าต้องขอย้ำที่มีกระแสข่าวบอกว่าศิลปอาชา ทิ้งชาติไทยพัฒนา วันนี้ทางนายนิกร จำนงค์ และทางกรรมการบริหารพรรคชาติไทยพัฒนาจะมีการให้ข่าวที่พรรคว่าวันนี้ยังมีศิลปอาชาอยู่และยังคงดำเนินกิจกรรมของพรรคอยู่ ไม่ได้หนีไปไหนพรรคยังอยู่ ส่วนจะยกก๊วนมาทั้งพรรคหรือไม่ เมื่อถึงเวลายุบสภาจะมีความชัดเจน แต่เชื่อว่าหลังจากนี้การทำงานจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เมื่อถามว่ามีการคาดการณ์กันว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าจะทำให้พรรคเล็กทำการเมืองได้ยากขึ้น จึงทำให้พรรคเล็กตัดสินใจย้ายเข้าพรรคใหญ่ นายวราวุธกล่าวว่า ก็ไม่ผิดเพราะจริงๆ แล้วในระบบการเมืองไม่ว่าจะเป็นในประเทศใดก็ตาม การที่มีพรรคการเมืองจำนวนมากก็จะทำให้เกิดพรรคร่วมรัฐบาลหรือพรรคฝ่ายค้านเป็นจำนวนมาก แต่หากดูหลายๆ ประเทศ เช่น อังกฤษและสหรัฐอเมริกาที่มีพรรคเพียงแค่ 2-3 พรรคก็จะทำให้ทำการเมืองราบรื่นมากขึ้น
เมื่อถามว่าคนในพื้นที่เข้าใจใช่หรือไม่ นายวราวุธยืนยันว่าเมื่อถึงเวลา และในขณะนี้หากมีการช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ หรือมีหลายหน่วยงานเข้ามา ก็จะทำงานให้ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
“การตัดสินใจย้ายพรรคครั้งนี้เป็นการพูดคุยกันกับทุกคน ไม่ได้ตัดสินใจคนเดียว เห็นพ้องต้องกันของสมาชิกที่อยู่ในพรรค” นายวราวุธ กล่าว
เมื่อถามว่าพรรคชาติไทยพัฒนา ยกมาอยู่พรรคภูมิใจไทยจะได้คะแนนเสียงยกจังหวัดเหมือนเดิมหรือไม่ นายวราวุธกล่าวว่าตนเองคิดว่าสมาชิกที่อยู่ในแต่ละพื้นที่เราทำงานมาอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็แล้วแต่ผู้สมัครของเราทำงานเคียงข้างประชาชนและหวังว่าจะได้รับความไว้วางใจอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็มั่นใจ
เมื่อถามว่าการมารวมตัวครั้งนี้ของพรรคชาติไทยพัฒนาและบ้านชลบุรี เป็นการประกาศตัวล่วงหน้าว่าจะจับมือจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันหรือไม่ นายอนุทินย้อนถามว่าทำไมถามเช่นนั้นเพราะมาอยู่ด้วยกันเป็นพรรคเดียวกัน
ขณะที่นายวราวุธกล่าวว่าไม่ค่อยมีใครถามพี่แป๊ะ (นายสนธยา คุณปลิ้ม) เลย มีแต่คนอยากถามนายวราวุธ ต้องเรียนว่า พรรคชาติไทยพัฒนา พ่อบรรหาร ศิลปอาชา ก็รับไม้ต่อมาจากบ้านราชครู ยืนยันว่าศิลปอาชา ยังอยู่กับชาติไทยพัฒนาอยู่ การตัดสินใจทางการเมืองแบบนี้ก็เป็นการรักษามรดกทางการเมืองของตนเองไว้ด้วย
ด้านนายอนุทินกล่าวว่าตนเองก็มาจากตรงนั้นเหมือนกัน พวกเราหลายคนก็มีที่มาจากตรงนั้น
“สนธยา” ย้ำ ชลบุรีทำงานในนามพรรคภูมิใจไทยเดินหน้าไปด้วยกัน
ด้านนายสนธยา กล่าวว่า การทำงานทางการเมืองหรือวิถีทางการเมืองบางครั้งในเรื่องการแข่งขันมันก็มีเป็นเรื่องปกติทางการเมือง แต่วันนี้ในเรื่องของการทำงานในนามพรรคภูมิใจไทยก็ทำให้เห็นชัดเจนว่า วิถีและวิธีการทำงานในจังหวัดชลบุรี เราทำงานในนามพรรคภูมิใจไทยที่เดินหน้าไปด้วยกัน ที่จะสร้างความไว้วางใจให้ประชาชนได้เห็นว่าทีมภูมิใจไทยชลบุรี เรามีเป้าหมายในการทำงานร่วมกัน โดยมีนโยบายของพรรคเป็นหลัก โดยมีพวกเราเป็นผู้ขับเคลื่อนนโยบายของพรรคในพื้นที่
“ปิยะ” โยน “อนุทิน คุยสาธิต” บอกเจ้านายลูกน้องน่าจะคุยกันได้
ส่วนนายปิยะ ปิตุเตชะ นายก อบจ.ระยอง กล่าวว่าตอนที่เป็น สส. ก็อยู่ด้วยกันก็มีความคุ้นเคยกับทุกคน วันนี้ดีใจที่มาคุยกัน มาสร้างนโยบายที่นายกฯ อนุทิน จะกระจายอำนาจผลักดันให้ท้องถิ่น ตนเองเป็นนายก อบจ. ก็อยากจะรู้ว่าการพัฒนาจังหวัดในท้องถิ่นจะมีความชัดเจนอย่างไร ซึ่งดีใจที่จะมีการกระจายอำนาจเพิ่มมากขึ้น คิดว่าความร่วมมือกับนายกฯ อนุทินจะทำให้การพัฒนาจังหวัดระยองเติบโตขึ้น
ส่วนปัญหาครอบครัวกับนายสาธิต ปิตุเตชะ จริงๆ แล้ว เป็นลูกน้องท่านนายกฯ อนุทิน ถ้าพี่น้องอาจจะคุยกันยากหน่อย แต่ถ้าเจ้านายและลูกน้องน่าจะคุยกันได้ ทำให้นายอนุทินถึงกับยกมือไหว้ ก่อนที่นายปิยะจะกล่าวต่อไปว่าต้องยกให้นายอนุทินไปพูดคุย ยืนยันว่าไม่มีปัญหา ยังไงเราก็เป็นสายเลือดเดียวกันยังคุยกันได้
นายอนุทินจึงกล่าวต่อว่า พี่เฮ้ง (นายสุชาติ) และ พี่แป๊ะ (นายสนธยา) ยังมาดีกันได้เพราะน้องหนู ผมคิดว่าวันนี้ก็จะเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการเมืองไทยที่ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาทำการเมืองกันด้วยความแตกแยก มีแต่คิดถึงตัวเองเป็นหลัก วันนี้เราสามารถเปลี่ยนบริบททางการเมืองใหม่ คนที่ได้รับประโยชน์สูงสุดคือพี่น้องประชาชน อย่าลืมว่าพี่น้องประชาชนคือตัวแทนของประชาชน หาก สส. ไม่ถูกกันแตกแยกกันก็คือประชาชนแตกแยกกัน ไม่มีประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น ที่จะเกิดกับประชาชนและประเทศชาติ
“ผมต้องการพิสูจน์อันนี้ ก็คือการสมัครสมานสามัคคี การเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และเอาประสบการณ์และทุกๆ สิ่ง ที่ทุกคนสั่งสมกันมา สมัยก่อนเราถือว่าเป็นวัยรุ่นทางการเมือง แต่วันนี้เราถือว่าเป็นผู้สะสมประสบการณ์ทางการเมืองมามากพอสมควรแล้ว วันนี้เราจะต้องใช้ประสบการณ์ เครือข่าย และความสามารถที่เรามีอยู่ กลับมาร่วมกันทำให้ประเทศไทยของเราก้าวหน้าไป โดยที่เรามีศักยภาพแข็งแรงอยู่ ตอนนี้อย่างน้อยเราเห็นถึงความแตกแยก ความแตกต่าง ผมก็มีหน้าที่ ที่จะทำให้เรื่องเหล่านี้หมดไปและมาเป็นพลังเดียวกัน เพื่อที่ทำให้เกิดการพัฒนา ความสงบเรียบร้อย เกิดความสามัคคีและทำให้ประเทศไทยของเรากลับมาเป็นผู้นำในภูมิภาคนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชน” นายอนุทิน กล่าว