พรรคประชาชน เสวนาชุบชีวิตเศรษฐกิจไทย “วีรยุทธ” ชูยกเครื่องยนต์ใหม่ 4 ด้าน แก้การเมืองสีเทา ด้าน “ศิริกัญญา” ชี้ 4 โจทย์ใหญ่ของรัฐทันโลก ต้องเป็นรัฐที่ CLEAN สู้กับคอร์รัปชัน ขณะที่ “อ.สมเกียรติ” แนะฝ่ายการเมืองผลักดันนโยบายสร้างงานดี
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2568 ที่อาคารอนาคตใหม่ พรรคประชาชนจัดเวทีเสวนาหัวข้อ “ชุบชีวิตเศรษฐกิจไทย” ในงาน “รีชาร์จประชาชน” โดยมีผู้ร่วมเสวนาโดย นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน, นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน และ นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เพื่อเปิดแนวนโยบายความมั่นคงใหม่ เศรษฐกิจใหม่ บริหารประเทศแบบใหม่ ไทย-ทัน-โลก
นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวในหัวข้อ “ฟื้นภาคการผลิตไทย ยุทธศาสตร์เชื่อมโลกใหม่” โดยเสนอนโยบาย “รีชาร์จเศรษฐกิจไทยด้วย 4 เครื่องยนต์ใหม่” ว่า “การเมืองสีเทา” กำลังส่งผลกระทบด้านลบกับเศรษฐกิจไทยหลายทาง เพราะทำให้เงินไหลจากการทำมาหากินแบบปกติไปสู่เศรษฐกิจใต้ดิน ทำให้การจัดสรรงบประมาณเต็มไปด้วยความฉ้อฉล และบริการสาธารณะด้อยคุณภาพ ในขณะที่ผู้คนก็พลอยมองหาแต่ผลประโยชน์ระยะสั้นเฉพาะหน้า มุ่งหน้าหาแต่คอนเน็กชันการเมือง ส่วนคนเก่งๆ ก็หาทางไปทำงานต่างประเทศ หากได้รับความไว้ใจจากประชาชนให้เข้ามาบริหารประเทศ พรรคประชาชนพร้อมปรับยุทธศาสตร์ใหญ่ ชุบชีวิตเศรษฐกิจไทยใน 4 เครื่องยนต์ ได้แก่
1. พัฒนาทักษะคนไทยรูปแบบใหม่ ด้วยการจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้น ทั้งสำหรับคนทั่วไปและแบบเฉพาะเจาะจงรายอุตสาหกรรม รัฐเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณ แต่ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจเลือกคอร์สและรูปแบบที่เหมาะสมกับแต่ละคนเอง โดยมีการแข่งขันกันระหว่างเอกชนผู้ให้บริการ เพื่อให้เกิดราคาและคุณภาพที่ดีที่สุดกับผู้เรียน
...
2. ยกเครื่องอุตสาหกรรมเก่าขึ้นเป็นอุตสาหกรรมใหม่ รัฐสนับสนุนกองทุนยกระดับอุตสาหกรรมและภาคบริการ โดยไม่ต้องเน้นแต่การสร้างนวัตกรรมที่ไกลตัว แต่กระตุ้นให้เกิดการเพิ่มผลิตภาพการผลิต ทำสินค้าให้เก่งขึ้น เติมอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้สูงวัย ในขณะเดียวกัน ก็สนับสนุนกระบวนการตรวจรับรองมาตรฐาน ISO 13485 สำหรับอุปกรณ์ทางการแพทย์ ไปพร้อมกับบูรณาการระบบการขึ้นทะเบียนสินค้าที่ปัจจุบันล่าช้าและขาดการประสานงานระหว่างแล็บทดสอบ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกรมทรัพย์สินทางปัญญา
3. หนุนเกษตรหลากหลาย สร้างดีมานด์กระตุ้นซัพพลาย และ 4. คอนเน็กไทยกับโลกเพื่อร่วมขบวนเทคโนโลยีแห่งอนาคต เดินหน้าจับมือกับประเทศต่างๆ เพื่อร่วมลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ โดยเข้าใจความต้องการของแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน
นายวีระยุทธกล่าวทิ้งท้ายว่า หลังการเลือกตั้งปี 2569 จะไม่มีการเมืองสีเทาและเศรษฐกิจเก่าอีกแล้ว เพราะหากไม่กลายเป็นการเมืองสีขาวและเศรษฐกิจใหม่ ก็จะกลายเป็นยุคแห่งการเมืองสีดำ ที่มาพร้อมกับความเฟื่องฟูของเศรษฐกิจใต้ดิน
จากนั้น นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวในหัวข้อ “สร้างรัฐทันโลก” ระบุว่า จากข้อเสนอของนายวีระยุทธ มีหลายเรื่องที่รัฐต้องทำ แต่แทนที่รัฐจะเป็นทางออกของปัญหาต่างๆ รัฐไทยหลายครั้งกลายเป็นปัญหาเสียเอง ดังนั้นเราไม่สามารถพาประเทศไปข้างหน้า ผ่านความท้าทายใหม่ๆ ของโลกได้ ถ้าเราไม่เริ่มจากการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรัฐไทย เพื่อให้เป็น “รัฐทันโลก” หรือ “future-ready” เตรียมความพร้อมรับมือกับอนาคตได้
โดย 4 โจทย์ใหญ่ของรัฐทันโลก ต้องแก้ปัญหาเรื้อรังที่มีมานาน ทั้งเรื่องโครงสร้างของรัฐที่ใหญ่โตเทอะทะ งบประมาณที่รวมศูนย์ กฎหมายที่ล้าสมัย ซึ่งทาง TDRI เคยเสนอเรื่องกิโยตินกฎหมาย แต่ 10 ปีที่ผ่านมา ยกเลิกกฎหมายได้เพียง 25% ดังนั้นถ้าจะยกเลิกให้ครบ 100% ต้องใช้เวลา 40 ปี รวมถึงปัญหาคอร์รัปชัน และเป็นรัฐที่ไม่สามารถสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ไม่ทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น ดังนั้นเราต้องเสริมสมรรถนะใหม่ให้กับรัฐ สร้างความร่วมมือระหว่างรัฐ ประชาชน เอกชน ภาคประชาสังคมไปด้วยกัน
อย่างแรก เราต้องการรัฐที่ CLEAN สู้กับคอร์รัปชัน ไม่ใช่ไปร่วมกับการคอร์รัปชันเสียเอง อย่างที่สอง ต้องการรัฐที่ LEAN กระฉับกระเฉงว่องไว ไม่อุ้ยอ้ายไปด้วยบุคลากรจำนวนมากที่อาจไม่ได้ใช้ถูกใช้อย่างเต็มศักยภาพ อย่างที่สาม รัฐที่ EMPOWERING ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าเขามีอำนาจ สนับสนุนให้ประชาชนไปถึงศักยภาพสูงสุดของตัวเองได้ และสุดท้ายรัฐที่ RESPONSIVE ตอบสนองอย่างว่องไวต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่เหมือนปัจจุบันที่รัฐออกมาช้าสุด ประชาชนต้องออกมาก่อน ดังนั้นต้องมีทั้ง 4 คุณสมบัตินี้ถึงจะเป็นรัฐทันโลก
เรื่องแรกที่ต้องทำคือ “การปฏิรูประบบงบประมาณ” ปัจจุบันงบประมาณของประเทศไทย แบ่งเป็น 4 ก้อนหลัก คือค่าใช้จ่ายตามสิทธิ์ เช่น เงินเดือนของข้าราชการ สวัสดิการตามกฎหมาย ประมาณเกือบ 2 ล้านล้านบาทจากงบประมาณในแต่ละปี ต่อมาคือค่าใช้จ่ายตามข้อผูกพัน เช่น งบผูกพัน ค่าเช่าตึกสำนักงาน ทุนการศึกษาของนักเรียนทุน ประมาณ 6.7 แสนล้านบาท ต่อมาคือค่าใช้จ่ายพื้นฐาน เช่น ค่าไฟ บำนาญ ค่ารักษาพยาบาล ประมาณ 7.8 แสนล้านบาท นั่นเท่ากับจากงบประมาณเกือบ 4 ล้านล้านบาทในแต่ละปี เหลืองบที่จะเอาไปใช้พัฒนาประเทศ คิดโครงการใหม่ๆ ลงทุนในมนุษย์ เพียงประมาณ 6.8 แสนล้านบาท และน้อยลงเรื่อยๆ ทุกปี
ถ้าเราไม่เริ่มแก้จากตรงนี้ ไม่มีทางพาประเทศไปข้างหน้าได้ วิธีการทำคือต้องลดก้อนค่าใช้จ่ายตามสิทธิ์ ค่าใช้จ่ายตามข้อผูกพัน ค่าใช้จ่ายพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าพรรคไม่มีนโยบายตัดบำนาญ หรืออีกวิธีคือการยืดพื้นที่งบประมาณให้มากขึ้น ซึ่งจะได้จากการกู้เงินหรือต้องเก็บภาษีให้ได้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ตามที่มีข่าวรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง พูดถึงการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 10% แต่ไม่ว่าเราเก็บเข้ามาเท่าไร ถ้ามันรั่วออกไปจากการคอร์รัปชันก็ไม่มีประโยชน์
เรื่องต่อมาคือการปฏิรูปการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ที่ผ่านมาประเทศไทยชอบสร้างถนน สร้างตึกอาคาร สร้างแหล่งน้ำ มากกว่าสร้างคน รองลงมาคือการซื้อของ เฉพาะสองก้อนนี้รวมกันเป็นประมาณ 80% ของงบประมาณที่ใช้จัดซื้อจัดจ้างของทั้งประเทศ ถ้าเราสามารถทำให้เงินก้อนนี้สะอาดขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประหยัดงบประมาณได้ดีขึ้น เราจะมีเงินเหลือไปลงทุน กลับเข้ากระเป๋าของรัฐได้ทันทีประมาณ 200,000-300,000 ล้านบาท เยอะกว่าการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 10% ด้วยซ้ำ นี่เป็นเรื่องที่รัฐจำเป็นต้องทำ ปล่อยให้เรื่องเทาๆ เกิดขึ้นกับงบประมาณไทยต่อไปไม่ได้
นอกจากนี้เราต้องการระบบที่ดีที่จะป้องกันการโกง ในการปฏิรูปการจัดซื้อจัดจ้าง ต้องแบ่งตลาดให้ชัดเจนว่าเรากำลังพูดถึงตลาดการจัดซื้อจัดจ้างประเภทไหน โดยสินค้ากลุ่มใหญ่ที่กินงบประมาณไปแล้วประมาณ 630,000 ล้านบาท คือสินค้าที่มีมูลค่าสูงแต่มีผู้ขายหรือผู้ค้าน้อยราย เช่นงานก่อสร้างขนาดใหญ่ ซึ่งแม้จะมีคู่แข่งน้อย แต่เราต้องทำพยายามทำให้เกิดการแข่งขันและความโปร่งใสให้ได้มากที่สุด ต้องทำความเข้าใจแต่ละตลาดจึงจะสามารถแก้ปัญหาคอร์รัปชันในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างแต่ละแบบได้
และท้ายที่สุด การเปิดเผยข้อมูลมีความสำคัญที่สุด เพราะแม้มี สส. 500 คน ก็มีดวงตาได้แค่ 500 คู่ แต่เมื่อไหร่ที่เปิดเผยข้อมูล จะมีดวงตาอีกเป็นสิบล้านคู่ที่จับจ้องตรวจสอบไปพร้อมกัน อย่างไรก็ดี ระบบเปิดเผยข้อมูลปัจจุบันของกรมบัญชีกลาง (electronic government procurement) มีการเปิดเผยข้อมูลในช่วงก่อนทำสัญญา ช่วงทำสัญญา แต่ไม่เคยเปิดเผยช่วงหลังทำสัญญา เช่น การบริหารสัญญา การแก้สัญญา ความคืบหน้าโครงการ บริษัททิ้งงาน
กรณีตัวอย่างคือตึก สตง.ถล่ม ซึ่งมีหลายสาเหตุ แต่หนึ่งในนั้นคือมีการแก้ไขสัญญาโดยที่ประชาชนไม่รู้เรื่องและไม่สามารถล่วงรู้ได้เพราะข้อมูลส่วนนี้ไม่เคยถูกเปิดเผย ทั้งที่กรมบัญชีกลางมีข้อมูลทั้งหมด จึงกลายเป็นจุดบอด ถ้าเปิดเผยข้อมูลได้ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ จะสามารถป้องกันการทุจริตในอนาคตได้โดยใช้เทคโนโลยี เช่น AI เข้ามาช่วยในการจับพิรุธ แจ้งเตือนก่อนว่าโครงการไหนผิดปกติ ต้องเข้าไปตรวจสอบหรือไม่. นอกจากนี้เราต้องการรัฐที่ฉลาดและมีความสามารถ หลายเรื่องถ้าจะผลักดันให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ๆ ได้ต้องใช้กลไกที่รัฐอาจไม่คุ้นชินในปัจจุบัน เช่นการให้เงินอุดหนุน รัฐต้องกล้าเสี่ยงในเรื่องนี้ หากประเมินความคุ้มค่าตามหลักวิชาการแล้วว่าบริษัทไหนที่ควรได้รับการสนับสนุน รัฐต้องกล้าเสี่ยงในเรื่องนี้ รวมถึงการจัดซื้อจัดจ้างแบบมียุทธศาสตร์
ด้านนายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ซึ่งเป็นแขกรับเชิญ กล่าวในหัวข้อ “สร้างงานดี เศรษฐกิจมีพลวัต ภารกิจเร่งด่วนรัฐบาลหน้า” ระบุว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยเติบโตช้าลงเหลือเพียงประมาณ 2% หากดูการประมาณการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ในปีหน้า 2569 ประเทศไทยจะเติบโตต่ำที่สุดในเอเชียตะวันออก เหนือกว่าญี่ปุ่นประเทศเดียว ถ้าอัตราการเติบโตเศรษฐกิจเป็นอย่างนี้ ประเทศไทยจะไม่สามารถหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง โดยปัจจุบันรายได้ต่อหัวที่จะก้าวเป็นประเทศรายได้สูงอยู่ที่เกือบ 14,000 ดอลลาร์ต่อปี ขณะที่ประเทศไทยตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 7,100 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี หรือประมาณครึ่งหนึ่งของรายได้ขั้นต่ำของประเทศรายได้สูง
ประเทศไทยเจอกับโจทย์ที่ท้าทาย ทั้งเรื่องคอร์รัปชัน ธรรมาภิบาล การฟอกเงิน ซึ่งมีแนวโน้มน่าเป็นห่วง ตนได้ยินมาจากการพูดคุยกับคนในวงการการเงิน ว่าตอนนี้มีบรรดาผู้มีอิทธิพลในเมืองไทยกำลังสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ คือการเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานแก่การฟอกเงิน เช่น บริษัทในตลาดหุ้น ธนาคาร บริษัทจดทะเบียน คริปโทโคเรนซี โดยจะมีรายได้จากการทำให้แหล่งเงินนอกระบบมาอยู่ในระบบ นี่เป็นโมเดลที่น่ากลัวอย่างยิ่ง และอาจทำให้นักลงทุนต่างประเทศไม่ไว้วางใจที่จะฝากเงินไว้ในประเทศไทย
ดังนั้น โมเดลใหม่ในการพัฒนาประเทศไทย ไม่ใช่การดึงดูดการลงทุนเยอะๆ แบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในปีนี้จะทำลายสถิติของปีที่แล้ว แต่ปัญหาคือประชาชนทั่วไปไม่ได้รู้สึกว่ารายได้ของตัวเองดีขึ้น หรือทำมาหากินดีขึ้น ดังนั้นการสร้างงานที่ดี ควรเป็นโจทย์ทางการเมืองที่สำคัญที่จะตอบโจทย์ผู้ลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งที่จะถึงได้ แต่การจะได้งานที่ดีก็ต้องมีทักษะที่ดี ดังนั้นต้องสร้างทั้งสองอย่างนี้ควบคู่กัน