“อนุทิน” ท้าฝ่ายค้านหากรอยุบสภาสิ้นเดือนมกราคมไม่ไหว พร้อมยุบสภาให้ 12 ธ.ค.นี้เลย ยืนยันต่อให้ชี้แจงดีแค่ไหนก็แพ้ เพราะรัฐบาลเสียงข้างน้อย


เมื่อเวลา 16.20 น. วันที่ 20 พ.ย. 2568 ที่โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและรมว.มหาดไทย ร่วมงานสัมมนา “PRACHACHAT OUTLOOK THAILAND 2026 : ปรับ-เปลี่ยน-ไปต่อ” โดยนายอนุทิน กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “Change for the Future” มีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า โครงการคนละครึ่งพลัส ที่บอกว่าไปซ้ำกับคนอื่นแต่ลุงตู่ (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ) ก็นายตนทำมาแล้วก็ทำต่อ ถ้ากลัวไปลอกข้อสอบก็ใส่คำว่าพลัสเข้าไป ตั้งแต่ที่ตนเข้ามาการเมืองทำอะไรก็โดนด่าไปหมด มีแต่คนละครึ่งพลัสนี่แหละที่เวลาเดินไปไหนมีแต่คนชม ถือว่าเราต้องไม่หัวแข็ง เราต้องยืดหยุ่นอะไรที่ดีแล้ว อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมเราก็ทำไป และเรื่องการเมืองเดี๋ยวตนก็ยุบสภาแล้วคืนอำนาจให้ท่าน ตอนนี้ตนว่าตัวเลือกมีไม่มาก อยู่ที่ท่านก็ดูว่าพรรคไหน นอกจากจะมี policy (นโยบาย) ที่ดีแล้วต้องมีการปฏิบัติที่ดี ไม่ใช่พูดแต่ policy แต่ถึงเวลาปฏิบัติไม่ได้ 

พร้อมยุบสภาให้ 12 ธ.ค.นี้

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า คำว่าการปฏิบัติมีหลายมิติ โดยปีหน้ายังไงก็ต้องเลือกตั้ง รัฐบาลเสียงข้างน้อยมันจะไปได้อย่างไรไม่ต้องมาอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะอภิปรายก็แพ้ ตนก็บอกแล้วว่าวันที่ 31 ม.ค.69 ยุบสภา แต่ท่านรอถึงวันที่ 31 ม.ค.69 ไม่ไหวก็ไม่มีปัญหา ท่านจะให้ยุบสภาวันที่ 12 ธ.ค. 2568 วันเปิดสภา ตนก็พร้อมยุบ แต่จะมีอะไรที่มันทำแล้วไม่เสร็จหลายอย่างท่านก็ต้องไปเบลม (โทษคนนั้น) จะมาโทษตนไม่ได้ เพราะตนไม่ยอม ถ้าบอกว่าให้อภิปรายแล้วให้โหวตต่อให้โหวตอภิปรายห่วยขนาดไหนก็แพ้ และต่อให้อภิปรายดีขนาดไหนหรือตอบโต้ชี้แจงดีขนาดไหนก็แพ้ เพราะรัฐบาลเสียงข้างน้อยมันไม่ใช่วินวิน

...

ปีหน้าเลือกถูกไทยไปไกล

นายอนุทิน กล่าวว่าทุกวันนี้ ตนไม่ได้ให้มันเกิดวินวินกับการเมือง แต่ให้เกิดวินวินกับประชาชนอย่างน้อย 3-4 เดือนและ 2-3 เดือนประชาชนวิน ประเทศไทยวิน ตนมีความสุขแล้ว เพราะเชื่อว่าตนก็มีพรรค มีนโยบายดี ที่ไปว่ากันตอนสนามเลือกตั้ง ท่านใกล้ชิดกับการเมืองใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจปีหน้าเป็นปีที่จะสำคัญตัดสินใจถูกประเทศไทยก็จะเขย่งก้าวกระโดด ไม่ใช่เพียงแต่ไปต่อเท่านั้น แต่ไปต่อด้วยสปีดที่เร็วและแรง เพราะเรากลับเข้าสู่จอเรดาร์ ทุกประเทศให้ความสำคัญให้ความสนใจ เชื่อว่าสิ่งที่เราได้ทำไว้ เราไม่ได้ทำเพื่อตัวเราเองเราทำรากฐานทำให้มันไกล

ต้องพัฒนาอย่างยั่งยืน

นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า งานวันนี้เกิดขึ้นประจวบเหมาะกับเวลาของโลกที่กำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองรวมไปถึงเทคโนโลยีและภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งประเทศไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเป็นใจกลางของความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ โจทย์ที่สำคัญในวันนี้คือเรากำลังเผชิญอะไรและประเทศไทยควรปรับเปลี่ยนและไปต่ออย่างไรบ้างเพื่อก้าวเข้าสู่โลกที่มีความซับซ้อนและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมีการแข่งขันทั้งทางเทคโนโลยี และใช้คำว่าภูมิรัฐศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องกับนโยบายที่แต่ละประเทศได้กำหนดและต้องสอดคล้องกับกฎกติกาใหม่ของโลก ซึ่งตัวที่เป็นเป้าหมายสำคัญการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติหรือที่เรียกว่า sustainable development goal

ดีใจ ไทย คืนสู่จอเรดาร์

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า วันนี้โจทย์ทั้งหลายที่ตนได้ไปพบกับผู้นำหลายประเทศ ในเวลาที่เดินทางไปประชุมตนก็จะขอปรับเวลาที่มีช่องว่างไปพบกับหลายคนด้วย ซึ่งตนเป็นนายกรัฐมนตรีต้องปรับนิสัยด้วย ไม่รอให้ใครมาพบแม้จะเป็นประเทศที่เศรษฐกิจเล็กกว่า ก็จะขอเวลาเพื่อไปพบและพูดคุยเพื่อสานต่อในเรื่องที่พูดคุยตกลงค้างคาไว้เพื่อเดินหน้าสองฝ่าย พร้อมกล่าวถึงนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน มีคนแนะนำว่าท่านเป็นคนเก่งเรื่องการต่างประเทศ ตนได้ทำงานร่วมกันในต่างประเทศ 2-3 ครั้ง ท่านเห็นว่าเราไปต่างประเทศได้พบกับผู้นำหลายประเทศมาก รวมถึงภาคเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้เห็นว่าเกิดประโยชน์ไม่มากก็น้อย สิ่งที่ท่านสีหศักดิ์ได้พูดกับตนคือ ท่านสีหศักดิ์ดีใจที่ได้ทำงานด้วยกัน รู้สึกว่าประเทศไทยได้กลับมาในจอเรดาร์ 

พร้อมสนิทสนมทุกประเทศ

นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า เมื่อตนได้ฟังคำนี้รู้สึกเหมือนถูกทุบไปกลางหน้าอก เพราะขนาดท่านสีหศักดิ์ยังพูดคำนี้มา เพราะที่ผ่านมารู้สึกหายไปจริง ๆ เพราะไม่มีใครเข้ามาสนใจ ทุกอย่างเป็นไปตามมารยาทกลไกปกติ แต่เมื่อพวกเราเข้ามาเหมือนเป็นการสร้างแรงขับเคลื่อนพิเศษ ซึ่งรัฐมนตรีสีหศักดิ์ยังรู้สึกแปลกใจที่ต้องรู้สึกสนิทสนมนั้น เพราะตนเป็นคนไม่ชอบกลับบ้าน สถานทูตในประเทศไทยใครเชิญตนไปงานวันชาติไม่ว่าประเทศเล็กหรือมหาอำนาจ ใครเชิญตนไปหมด อย่างน้อยไปดูวิดีโอว่าประเทศเขามีอะไรและจะได้กินอาหารพื้นเมืองอร่อย ๆ ฟรีไปหนึ่งมื้อ ได้พบกับข้าราชการไทย นักธุรกิจ ทูตประเทศอื่น ๆ ทำให้ความร่วมมือเกิดขึ้น

ช่วยเหลือเกื้อกูลระหว่างประเทศ

นายกรัฐมนตรีกล่าวย้อนไปในช่วงที่ตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีคนติดต่อมาช่วงสถานการณ์โควิดเพื่อเสนออุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อเข้ามาช่วยประเทศไทย เมื่อเราได้รับการช่วยเหลือเราก็ช่วยเหลือเขาไปเช่นกัน ทุกวันนี้ต้องการช่วยเหลือกันและกัน มองข้างเดียวไม่ได้ ดังสุภาษิตไทยเป็นแบบนี้เสมอ แต่ปัญหาที่เพิ่มขึ้นในตอนนี้คือทรัพยากรของโลกลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ ทรัพยากรของโลกเริ่มน้อยลงเรื่อย ๆ คนเกิดน้อย คนตายน้อย ทำให้มีผู้สูงอายุจำนวนมาก จึงต้องหันไปพึ่งพาเทคโนโลยี และมีการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาแทนคน การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และคำว่า “ภูมิรัฐศาสตร์” กลายเป็นคำสำคัญที่เดินเข้ามาเป็นตัวกลางในการขับเคลื่อนของโลก

ลั่นไม่มีใครอยากเห็นสงคราม

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเทศไทยกำลังใช้กรอบต่าง ๆ ในการดำเนินก้าวต่อไป ตามที่กรอบของโลกทั้งโลกกำหนดขึ้นมา เราไม่ได้ตกขบวน ทั้งเรื่องความร่วมมือเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD เพื่อให้รู้ว่าเรามีธรรมาภิบาล เรื่อง BCG การอนุมัติให้มีไฟฟ้าที่เป็นโซลาร์เพิ่มมากขึ้น รัฐศาสตร์ของโลก บางคนได้ยินและกังวลถึงขั้นว่าแบบนี้จะวุ่นวายหรือไม่ จะเกิดสงครามหรือไม่ ตนยังเห็นว่า ณ วันนี้ทุกประเทศไม่มีใครอยากเดินถอยหลังไปสู่ยุคเดิม ๆ ที่ใช้อาวุธมาสู้รบกันกับประเทศเพื่อนบ้าน หากเลี่ยงได้ก็เลี่ยง ต้องใช้การเจรจาทางการทูตเพิ่มมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เห็นว่าหากข้ามเส้นมาก็น่าดูเหมือนกัน

หวังสงบ แต่พร้อมรบ

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า ตนถึงบอกมาตลอดว่า “แม้หวังตั้งสงบ แต่ส่งเสียงรบให้พร้อมสรรพ” นี่คือสิ่งที่ประเทศไทยกำลังดำเนินอยู่ ดังนั้นขอให้ทุกคนสบายใจได้ว่า ประเทศของเราจะไม่สูญเสียอธิปไตย เสียเปรียบ หรือรบแพ้ ยืนยันว่าไม่มี ตนถามพี่ ๆ ในกองทัพทุกคนว่ามีความมั่นใจหรือไม่ ทุกคนบอกตรงกันว่าอย่าให้ไปถึงจุดนั้นเลย แต่หากจำเป็นก็พร้อม เมื่อตนได้ยินคำนี้ก็รู้แล้วว่าจะไปต่ออย่างไรในการที่จะไปคุยกับประเทศคู่กรณี และประเทศที่พยายามจะจับให้ทั้งสองฝ่ายทำความเข้าใจกันให้มากที่สุด ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องใช้เวลา เป็นเรื่องปกติ ซึ่งเปรียบเทียบกับชีวิตของเรา เวลาโกรธกับใครใช้เวลาแค่เสี้ยววินาที กว่าจะดีกันได้ต้องใช้เวลาตั้งกฎระเบียบอะไรขึ้นมาหลายอย่าง กว่าจะดีกันได้ก็ต้องให้เพื่อนคนที่ 3 นัดเราไปกินข้าวอีกครั้ง เป็นเรื่องปกติฉันใดก็ฉันนั้น เราก็ใช้องคาพยพที่เรามีอยู่ สร้างความมั่นคงแข็งแรง

คนไกล่เกลี่ย อย่าทำตัวเป็นคู่เจรจา

“ในกรณีที่มีคนมาบอกว่าหากไม่ดีจะลงโทษแบบนั้นแบบนี้ ในการเป็นคนกลาง คนไกล่เกลี่ย ก็ทำหน้าที่ไป อย่ามาทำตัวเป็นคู่เจรจากับเรา มันก็อยู่ที่เราจะควบคุมตรงนี้อย่างไร เพื่อให้เป็นไปตามความคาดหมายที่หวังไว้ อาจจะมีออกนอกกรอบบ้าง แต่ต้องปรับเปลี่ยนและไปต่อ”

เชื่อไทยภูมิรัฐศาสตร์ทแข็งแกร่ง

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คำว่า “ภูมิรัฐศาสตร์” ต้องหาจุดแข็งของเรา เพื่อให้ประเทศอื่นรู้สึกว่าอย่าสู้ประเทศไทย ซึ่งทุกครั้งที่ตนไปพูดในเวทีต่างประเทศที่ทุกคนตั้งใจฟังคือเรื่อง health care และ medical tourism ถึงแม้ว่าประเทศอื่นจะมีตัวยาและเทคโนโลยีที่ดีกว่า แต่สิ่งที่ประเทศอื่นไม่มีเหมือนประเทศไทยคือ “Care” เชื่อว่าไม่ว่าใครเข้ามาเจอพยาบาลของไทย ที่ใส่ใจการบริการ ไม่มีใครสู้ได้ เพราะทุกคนในโลกนี้ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่มาจากไหนก็กลัวเข็มหมด ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ประเทศไทยภูมิใจได้ ไม่จำเป็นต้องรักษาตัวในกรุงเทพฯ อาจจะไปที่ภูเก็ต และสามารถไปพักฟื้นที่รีสอร์ทต่อได้ ซึ่งหากจินตนาการภาพเหล่านี้เขาไม่สามารถหาได้จากประเทศไหน นอกจากจะดูแลผู้ป่วยแล้วเรายังได้ญาติเขามาด้วย สิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นแล้ว เป็นสิ่งที่ประเทศไทยขายได้ หาที่สองยังไม่ได้ อย่าว่าแต่หาคู่แข่งเลย ถือว่าเป็นสิ่งเดียวของโลกใบนี้ และเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เติบโตไปข้างหน้าอย่างเดียว สามารถเติบโตได้ ประเทศไทยถือว่าระบบสาธารณสุขแข็งแรงที่สุด ขณะเดียวกันก็ยังมีเรื่องการท่องเที่ยว และพลังงานสะอาด ที่เป็นภูมิรัฐศาสตร์ที่แข็งแกร่งของไทย