“ไผ่ ลิกค์” สวน “รักชนก” ไม่อยากโว ครอบครัวฐานะดีก่อนเล่นการเมือง เรียกร้องอย่าบิดเบือนประเด็นแจงที่มาเงินบริจาค
เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 20 พ.ย. 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากลายเป็นมหากาพย์ตรวจสอบกันไปมา ระหว่าง สส.ไผ่ ลิกค์ เลขาธิการพรรคกล้าธรรม และสส.ไอซ์ รักชนก ศรีนอก สส.กทม.พรรคประชาชน ที่ล่าสุด สส.ไผ่ โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงประวัติของปู่ย่าตายายว่า ปกติพยายามอยู่แบบโลโปรไฟล์มากที่สุด เพราะตนมีคุณปู่คุณย่าชื่อคุณปู่วิลเลียม ลิกค์ คุณย่าบุญรอด ล่ำซำ ที่บ้านทำธุรกิจหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านจัดสรร 9 โครงการใหญ่ ๆ โรงโม่หิน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อพาร์ตเมนต์ สถานบันเทิง ตลาดและอื่น ๆ อีกมากมาย
แต่ตนยุติบทบาทเรื่องการทำธุรกิจทั้งหมดเพื่อมาเป็น สส. รับใช้พ่อแม่พี่น้องชาวกำแพงเพชร ตามรอยของคุณพ่อ จึงไม่มีความจำเป็นต้องมากอบโกยอะไรในนี้ และไม่คิดที่ว่าจะทำงานให้รวยขึ้นจากการเป็นนักการเมือง “เข้าใจคนที่ตั้งคำถามผมนะว่าคุณคิดอะไรอยู่ ผมไม่ได้คิดแบบพวกคุณแน่นอนที่จะเข้าทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่ทำเพื่อประชาชน”
เรียกร้องตอบที่มาเงินบริจาค
นายไผ่ กล่าว ก่อนที่จะออกแถลงการณ์ ชี้แจงข้อกล่าวหา และข้อเรียกร้องการตรวจสอบเส้นทางเงินบริจาคของ สส. รักชนก ศรีนอก โดยระบุว่าประเด็นที่สังคมต้องได้รับคำตอบตามข้อกฎหมาย คือที่มาของเงินบริจาคจำนวน 200,000 บาทของ สส. รักชนก
มีเส้นทางเงินตามกฎหมายหรือไม่ เพราะจนถึงขณะนี้ ผู้ถูกตั้งคำถาม ยังไม่แสดงเอกสารทางการเงินแม้แต่ชิ้นเดียว
มีเพียงคำอธิบายเชิงวาทกรรม เช่น “เงินเดือนพอทำได้” หรือ “พรรคไม่มีทุนใหญ่” ซึ่งไม่ใช่คำชี้แจงที่เพียงพอต่อการตรวจสอบตามกฎหมาย และไม่อาจแทนที่ “หลักฐานเส้นทางการเงิน” ได้
...
ย้ำทุกคนต้องมาตรฐานเดียวกัน
นายไผ่ ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ความขัดแย้งส่วนตัว และสังคมสมควรได้รับคำตอบตามหลักฐาน ไม่ใช่ตามอารมณ์
ความพยายามเบี่ยงประเด็นของ สส. รักชนก เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบแทนที่จะชี้แจงเส้นทางเงินบริจาคตามกฎหมายกลับมีการนำคดีอื่นซึ่งไม่เกี่ยวข้องมาใช้เพื่อสร้างความคลุมเครือ ได้แก่
• คดีรถหรูที่ตนเองไม่ได้เกี่ยวข้องและศาลยกฟ้องบุคคลที่ถูกกล่าวถึงแล้ว
• ประเด็นส่วนตัวเมื่อหลายสิบปีก่อน
• การตั้งข้อสงสัยเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรี
• และการโจมตีด้วยถ้อยคำทางการเมืองเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของผม
ย้ำไม่ขาดคุณสมบัติรัฐมนตรี
นายไผ่ ระบุว่าการนำคดีที่ศาลยกฟ้อง หรือคดีที่ไม่ได้เกี่ยวกับเงินบริจาคมาใช้โจมตีไม่ใช่การตอบคำถามตามข้อเท็จจริง และเป็นการเบี่ยงประเด็นที่ตั้งใจหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ ส่วนกรณีคดีทำร้ายร่างกายเมื่อปี 2548 ถูกนำมาใช้บิดเบือนข้อกฎหมาย ยืนยันว่าผมถูกกล่าวหาว่า “ขาดคุณสมบัติรัฐมนตรี” จากคดีดังกล่าวซึ่งเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนทางกฎหมาย เพราะหน่วยงานรัฐที่มีอำนาจตีความ ได้วินิจฉัยตรงกันอย่างชัดเจนว่ากรณีดังกล่าว “ไม่เข้าลักษณะต้องห้าม” ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 และเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีในการพิจารณาเสนอชื่อรัฐมนตรี การนำประเด็นนี้มากล่าวอ้างจึงเป็นการบิดเบือนข้อกฎหมาย และเป็นการโจมตีเพื่อหวังผลทางการเมืองเท่านั้น
พร้อมให้ตรวจสอบหนี้ 5 แสน
ส่วนประเด็นหนี้ 550,000 บาท นายไผ่ ยืนยันพร้อมให้ตรวจสอบเต็มรูปแบบ และพร้อมให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินที่ผมยื่นไว้ในทุกวาระ ไม่ว่าจะเป็น หนี้สิน รายการทรัพย์สิน หรือเอกสารประกอบทั้งหมด เพราะไม่มีเหตุผลใดในการปกปิด และพร้อมพิสูจน์ด้วยเอกสารตามกฎหมาย ตรงกันข้าม ผู้ถูกตั้งคำถามกลับไม่ยอมเปิดเผยสเตทเมนต์หรือเส้นทางเงินจำนวน 200,000 บาทตามที่ควรทำ เพราะนี่คือวิธีที่โปร่งใสที่สุดและเป็นการให้เกียรติต่อสถาบันรัฐสภาและประชาชนผู้เสียภาษี การเมืองที่ดีต้องยืนอยู่บนมาตรฐานเดียวกัน ไม่ใช่ใช้วาทกรรมหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ
นายไผ่ ระบุตอนท้ายด้วยว่า ขอยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง โดยพร้อมให้ตรวจสอบทุกประเด็นตามกฎหมายไม่หลบ ไม่เลี่ยง ไม่บิดเบือน และยืนยันให้ทุกฝ่ายอยู่ใต้กติกาเดียวกัน