“นายกฯ อนุทิน” แถลงผลปฏิบัติการ “ตัดหมอก เวียงแหง” ตัดวงจรส่วยสัญชาติ พบเชื่อมโยงกลุ่มจีนเทา ลั่น ขยายผลถึงใครโดนหมด ยอมรับ เป็นครั้งแรกที่กระทรวงมหาดไทย ออกหมายจับระดับนายอำเภอ 

 เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในการแถลงผลการดำเนินคดีขบวนการสวมสิทธิและทำหลักฐานเท็จในพื้นที่ อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ และผลปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมี พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาคที่ 5 ฝ่ายปกครอง สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ร่วมแถลง

นายอนุทิน กล่าวว่า ส่วยสัญชาติเป็นบ่อนทำลายนิติรัฐ นิติธรรม และเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ จึงสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย เร่งแก้ปัญหาขยายผล พบว่าเป็นขบวนการทุจริตที่เชื่อมโยงไปถึงกลุ่มจีนเทา ที่เป็นภัยกับความมั่นคงของชาติ จึงได้บูรณาการเปิดปฏิบัติ “ตัดหมอก เวียงแหง” เพราะจากข้อมูลทราบว่า ที่ อ.เวียงแหง เหมือนเป็นเมืองหลวงของการทุจริตในการสวมสิทธิสถานะบุคคลมาอย่างยาวนาน เพราะทำมาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2554 และเคยมีการจับกุมดำเนินคดีระดับปลัดอำเภอในคดีนี้ ถูกตัดสินจำคุก 5 ปี และอีกคดีในปี 2563 ซึ่งถูกลงโทษให้ออกจากราชการแล้ว แต่ยังกลับมาเกิดขึ้นซ้ำอีกในปีนี้ จึงเป็นเหตุให้กระทรวงมหาดไทยต้องขอความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนั้น ดำเนินการล้างบางให้สิ้นซาก ไม่ให้กระทำผิดซ้ำอีก การจับกุมขบวนการทุจริตครั้งนี้ เป็นครั้งแรก ที่กระทรวงมหาดไทย ออกหมายจับระดับนายอำเภอที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต สะท้อนให้เห็นเจตนารมณ์ของรัฐบาลว่า ตั้งใจทำให้เห็นว่า ตั้งใจจริง เอาจริง และปราบปรามกระบวนการนี้ที่ก่อให้เกิดภัยความมั่นคงแห่งชาติและความมั่นคง ไม่ว่าจะตำแหน่งหรือสถานะใดก็ตาม

...

มุ่งตัดวงจรยาเสพติดทั้งระบบ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับการปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือ ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หน่วยงานด้านความมั่นคง ทหาร ตำรวจ ป.ป.ส. รวมถึงฝ่ายปกครอง ได้บูรณาการกำลังอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งด้านข่าวกรอง การปิดล้อมตรวจค้น การสกัดกั้นตามเส้นทางธรรมชาติ และการขยายผลไปถึงผู้สั่งการและเครือข่ายทางการเงิน ซึ่งผลการปฏิบัติการในรอบล่าสุด มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม โดยสามารถยึดของกลางยาเสพติดเป็นจำนวนมาก ทั้งยาบ้า ยาไอซ์ หลายรายการ และสามารถจับกุมผู้ต้องหาในขบวนการลำเลียงและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง พร้อมพยานหลักฐานที่สามารถนำไปขยายผลต่อยอดได้ ความสำเร็จในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการเดินหน้า ปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ด้วยปฏิบัติการ “ตัดวงจรทั้งระบบ” ตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้ลำเลียง ผู้ค้ารายย่อย ไปจนถึงเครือข่ายการเงินที่อยู่เบื้องหลัง เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ถึงที่สุดและเชิญชวนประชาชน ร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจสำคัญนี้ ไม่ว่าจะโดยการแจ้งเบาะแส ดูแลคนในครอบครัวด้วยความรักความเข้าใจ สนับสนุนการบำบัด และร่วมรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด ต่อต้านการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพื่อปกป้องลูกหลานของเรา และเพื่อสังคมที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน


จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ เดินตรวจสอบปืนของกลางที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดจากบ้านผู้ต้องหา และได้หยิบพระที่เป็นของกลางขึ้นมาส่อง พร้อมกล่าวว่า “อันนี้พระเก๊” จนทำให้เกิดเสียงฮือฮาในห้องแถลงข่าว ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะหยิบพระองค์อื่นขึ้นมาส่องต่อ พร้อมกล่าวว่า “ทองแท้ แต่พระเก๊ พระอยู่กับคนดี ไม่อยู่กับคนไม่ดี เพราะนี่พระเก๊หมดเลย”


กร้าวเรื่องส่วยสัญชาติสาวถึงใครต้องโดนหมด

จากนั้น นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า จะมีการดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องในระดับสูงในเรื่องส่วยสัญชาติขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายผล หากไปถึงไหนก็ต้องโดนหมด ส่วนการขยายผลความเสียหายจากการเรียกรับผลประโยชน์ จะต้องติดตามต่อไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย และนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อติดตามเส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรม เมื่อถามว่า จากที่มีการขยายผลพบว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่มธุรกิจสีเทา นายอนุทินกล่าวยอมรับว่า คนพวกนี้เกี่ยวข้องกันทั้งหมด เหมือนฝนตกขี้หมูไหล คนอะไรมาพบกัน คนที่เกี่ยวข้องกับค้ามนุษย์ การพนัน สแกมเมอร์ พนันออนไลน์ ค้าบริการทางเพศ ก็อยู่ในกลุ่มนี้ทั้งหมด เพราะมันก็ทำได้แค่นี้ เมื่อถามว่านโยบายการให้สัญชาติ ในช่วงที่นายอนุทิน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ระบุว่า เป็นการให้โดยหลักมนุษยธรรม