สว. สำรอง ยื่นดีเอสไอ ดำเนินคดีกับพยานที่กลับคำให้การคดีฮั้ว สว. เชื่อเป้าหมายช่วยนักการเมืองหลุดคดี มั่นใจหากเพิกเฉยยิ่งจะมีพยานทยอยกลับคำให้การเพิ่ม

 

วันที่ 19 พ.ย. 2568 พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว ตัวแทนกลุ่ม สว.สำรอง เดินทางมาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI เพื่อยื่นหนังสือร้องเรียน เพื่อให้ดำเนินการกับพยานบุคคลในคดีอั้งยี่-ฟอกเงินในกรณีทุจริตการเลือกสมาชิกวุฒิสภา หรือฮั้ว สว. ที่ทำหนังสือขอกลับคำให้การในชั้นคณะพนักงานสอบสวนของ DSI  โดยระบุว่า ก่อนหน้านี้พยานคนดังกล่าวและพยานบุคคลอื่นอีกกว่า 40-50 ปาก ได้ให้การอันเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี เมื่อนำมาประกอบกับพยานหลักฐานอื่น ๆ เช่น หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ หลักฐานเส้นทางการเงิน และพยานหลักฐานอื่น ๆ ก็สามารถที่จะแจ้งข้อกล่าวหาบุคคลที่เกี่ยวข้องกับขบวนการอั้งยี่ฟอกเงินการทุจริตการเลือกสว. โดย DSI ถึง 229 ราย แบ่งเป็น กลุ่มสมาชิกวุฒิสภาชุดปัจจุบัน 138 ราย และบุคคลที่เป็นนักการเมือง บางรายเป็นถึงระดับกรรมการบริหารพรรค 91 ราย 

ห่วงนักการเมืองรอดคดี

แต่อย่างไรก็ตาม พยานคนดังกล่าวได้กลับคำให้การ อ้างว่า ที่ให้การไปนั้นเป็นการถูกข่มขู่ ซึ่งจะส่งผลทำให้รูปคดีเกิดการเปลี่ยนแปลงและจะทำให้พยานหลักฐานทางคดีที่จะเอาผิดทั้ง 229 คน โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวพันกับนักการเมือง 91 คนอาจรอดพ้นจากคดีอาญาหรือทำให้พยานหลักฐานเบาบางจนไม่สามารถดำเนินคดีอาญาได้ และคาดว่า การกลับคำให้การดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ในคณะพิจารณาของ กกต. อันจะส่งผลต่อการดำเนินคดีการทุจริตการเลือก สว. หรือฮั้ว สว. เช่นเดียวกัน นั่นจึงมองว่า พยานคนดังกล่าวกลับคำให้การเพื่อเป็นการช่วยเหลือนักการเมืองทั้ง 91 คนให้รอดพ้นจากคดี ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พยานคนดังกล่าวให้การครั้งแรกที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีอย่างมากถึง 5-6 หน้ากระดาษ แต่พอกลับคำให้การปฏิเสธ กลับบอกเหตุผลเพียงแค่นิดเดียว

...

หากถูกขู่ อัยการต้องรับรู้

พล.ต.ท.คำรบ กล่าวด้วยว่าพวกตนก็ตั้งข้อสงสัยว่า พยานคนดังกล่าวนั้นให้การต่อหน้าคณะพนักงานสอบสวน โดยมีพนักงานอัยการร่วมคณะด้วย จึงจะถูกข่มขู่ได้อย่างไร หากถูกข่มขู่จริง ทั้งคณะพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการก็ต้องรับรู้ ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้พยานคนนี้เคยสังกัดพรรคภูมิใจไทย แต่ปัจจุบันได้สังกัดพรรคร่วมรัฐบาลพรรคหนึ่ง นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม การกลับคำให้การของพยานคนนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการช่วยกลุ่มนักการเมืองที่จะถูกดำเนินคดีนี้ด้วยเหตุนี้ 

ร้องดีเอสไอ สอบ 4 ประเด็น

ตนจึงนำหนังสือมาร้องเรียนให้ DSI ดำเนินการตาม 4 ข้อดังต่อไปนี้

1. ขอให้มีการตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับคำให้การของพยานทุกราย โดยให้ชั่งน้ำหนักความน่าเชื่อถือจากคำให้การในครั้งแรกที่มีรายละเอียดที่ชัดเจน สอดคล้องกับพยานหลักฐานอื่น ๆ ที่มีมากและมีความน่าเชื่อถือ มากกว่าคำแก้ตัวที่อ้างว่าถูกข่มขู่ในการให้การครั้งแรก

2. ขอให้เพิกถอนสิทธิในการถูกกันตัวเป็นพยานของบุคคลที่กลับคำให้การและดำเนินการต่อพฤติการณ์และการกระทำผิดของบุคคลนั้นตามที่กฎหมายกำหนดไว้ อย่างเคร่งครัด

3. ขอให้ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีกับพยานกลับคำให้การในทุกราย ในข้อหากระทำการอันเป็นเท็จเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าผู้สมัครผู้ใดกระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 ตามมาตรา 78 อย่างจริงจังในทุกราย

4. ให้สอบสวนถึงรายละเอียดของผู้ที่ถูกอ้างว่าเป็นผู้ข่มขู่หรือบังคับหลอกลวงในการให้การก่อนหน้านี้ตามที่พยานผู้กลับคำให้การกล่าวอ้างในทุกราย เพื่อดำเนินคดีกับบุคคลนั้นอย่างถึงที่สุดในข้อหาข่มขืนใจหรือกระทำการใดให้ผู้อื่นกระทำการหรือไม่กระทำการอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309

ซึ่งทั้ง 4 ข้อนี้ ตนก็ได้ดำเนินการส่งให้ทาง กกต. ดำเนินการตรวจสอบตั้งแต่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาเช่นเดียวกัน


แนะดำเนินดคีพยานกลับคำ

พล.ต.ท.คำรบ กล่าวอีกว่า เดิมทีพยานคนนี้จะต้องถูกดำเนินคดีมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แต่คาดว่าน่าจะถูกกันให้เป็นพยาน เมื่อเขาเลือกที่จะใช้สิทธิ์กลับคำให้การ ก็ควรจะต้องเพิกถอนสิทธิ์การคุ้มกันทางคดีและดำเนินคดีเกี่ยวกับการทุจริตการเลือก สว.รวมทั้งต้องดำเนินคดีให้การเท็จต่อกรรมการหรือพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าผู้สมัครใดกระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 ซึ่งความผิดตามมาตรา 78 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 7 ปีถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 140,000 บาทถึง 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งมีกำหนด 20 ปี

เชื่อมีทยอยกลับคำให้การอีก

ส่วนเหตุผลที่ต้องกลับคำให้การเพื่อช่วยนักการเมืองทั้ง 91 คนนี้ก่อน เป็นเพราะในจำนวนนี้มีนักการเมืองระดับสูงที่ต้องให้ความสำคัญในการช่วยเหลือเป็นอันดับแรก ๆ หากจะช่วยทีเดียวทั้ง 229 คน อาจจะเป็นการหักด้ามพร้าด้วยเข่า จึงเชื่อว่าหลังจากนี้ อาจจะมีพยานบุคคลอีก 4-5 ปากที่จะทยอยกลับคำให้การ เพื่อค่อย ๆ ให้การช่วยเหลือจนรอดคดีทั้งหมด

ฉะ กกต.ทำงานล่าช้า

พล.ต.ท.คำรบ กล่าวด้วยว่า ยอมรับว่าก่อนหน้านี้ก็กังวลและคาดการณ์เอาไว้แล้วว่า จะต้องมีพยานบุคคลกลับคำให้การที่ส่งผลต่อทางคดี ซึ่งสิ่งนี้ก็สะท้อนถึงการทำงานของ กกต. ที่ล่าช้าต่อการมุ่งดำเนินคดีทั้ง 229 คน ไม่ใช่ทยอยออกหมายเรียกดำเนินคดีบางส่วนอย่าง DSI ที่ล่าสุดเพิ่งออกหมายเรียก 8 บุคคลจากภาคใต้ที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินและฮั้ว สว. ที่ถึงแม้ว่าจะทำให้คดีอั้งยี่ฟอกเงินฮั้ว สว. มีความชัดเจนมากขึ้นในระดับหนึ่ง แต่พอคดีหลักที่อยู่ในมือ กกต. ทำงานล่าช้า ก็จะเป็นการถ่วงเวลาเพื่อเปิดโอกาสให้พยานบุคคลถูกล็อบบี้และกลับคำให้การ ซึ่งเกรงว่าอาจจะกลายเป็นการลดจำนวนผู้ต้องหา และอาจทำให้คดี ฮั้ว สว. ล้มก่อนสิ้นปี ตามที่นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น บุรีรัมย์ เคยเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวเอาไว้

ฝากความหวังประธานกกต.

ตนจึงฝากความหวังไปยังประธาน กกต. คนใหม่ที่เพิ่งได้รับเลือกเมื่อวานนี้ว่า ตัวท่านเองมาจากสายศาลยุติธรรม จึงคาดหวังว่าท่านจะให้ความเป็นธรรมต่อการพิจารณาพยานหลักฐานและชั่งน้ำหนักพยานต่าง ๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินคดี รวมทั้งอยากให้ กกต. ท่านอื่นพึงระลึกถึงเกียรติประวัติคุณงามความดีที่สั่งสมมา ขอให้ท่านเป็นที่พึ่งพิงของประชาชน แม้จะเชื่อมั่นในตัวพวกท่านน้อยลงก็ตาม แต่ยังฝากความหวังไว้ที่พวกท่าน ไม่ใช่ทำตามคนที่รับฝากให้ช่วยเหลือทางคดี


ส่วนพยานบุคคลคนอื่น ๆ ที่คาดว่าน่าจะกลับคำให้การอีกนั้น ขอให้พิจารณาคิดดีๆ เพราะมันจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมคดีทั้งหมดและจะมีความผิดเรื่องให้การเท็จต่อเจ้าพนักงานในคดีที่เกี่ยวกับการเลือก สว. ซึ่งมีโทษจำคุกสูงถึง 7-10 ปี