“เลขาฯ กฤษฎีกา” ไม่มั่นใจ อัยการสูงสุดอุทธรณ์คดี 112 “ทักษิณ” ไม่กระทบพักโทษหรือไม่ แจงขั้นตอนยึดทรัพย์คดีหุ้นชินคอร์ป ต้องขอศาลออกหมายบังคับคดี สืบทรัพย์ให้มาเป็นของแผ่นดิน
วันที่ 18 พ.ย. 2568 ที่ทำเนียบ นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวถึงกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกต ว่าการอุทธรณ์ของอัยการสูงสุด คดี 112 ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะทำให้ไม่สามารถขอพักโทษจากคดีสืบเนื่องจากชั้น 14 ได้จริงหรือไม่ ว่าไม่น่าจะถูกตัดสิทธิการพักโทษ แต่ตนยังไม่ได้ดูรายละเอียด ขอดูรายละเอียดก่อน จึงไม่กล้าตอบคำถาม เนื่องจากกังวลว่าอาจผิด
ไม่แน่ใจกระทบพักโทษหรือไม่
ส่วนการที่สำนักงานอัยการสูงสุดยื่นอุทธรณ์ในคดี 112 จะส่งผลให้ไม่สามารถขอพักโทษได้ใช่หรือไม่ นายปกรณ์ กล่าวว่า การยื่นอุทธรณ์ไม่ใช่คำพิพากษา ถือว่ายังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินคดีอยู่ และการขอพักโทษก็น่าจะได้ ก่อนย้ำว่าการตอบคำถามของตนเป็นการตอบที่ยังไม่ได้ดูข้อกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เลขาฯกฤษฎีกา ยืนยันว่าการที่จะขอพักโทษได้ ต้องรับโทษมาแล้ว 1 ใน 3 หรือจำคุกมาแล้ว 6 เดือน ซึ่งเป็นไปตามหลักที่ต้องรับโทษ ก่อนจะขอพักโทษ และขั้นตอนการพักโทษก็ไม่มีหลักเกณฑ์การจำคุกขั้นต่ำกว่านี้แล้ว
เมื่อถามว่าหากนายทักษิณ ได้รับการพักโทษออกมาจะสามารถเป็นผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้งได้หรือไม่ เลขาฯกฤษฎีกา ระบุว่า อันนี้ไปไกลแล้ว ตนชักงง ขอดูรายละเอียดก่อน และไม่กล้าตอบ เพราะอาจผิดพลาดได้
ต้องขอศาลออกหมายบังคับคดี
ส่วนที่มีกรณีศาลฎีกาพิพากษากลับในคดีภาษีของนายทักษิณ ต้องจ่ายภาษีจากการขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) จำนวน 1.76 หมื่นล้านบาท กระทรวงการคลังจะต้องดำเนินการเช่นไร เลขาฯกฤษฎีกา ระบุว่า กระทรวงการคลังไม่ต้องทำอะไร แต่ต้องขอศาลออกหมายบังคับคดี ซึ่งเป็นกระบวนการปกติไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ซึ่งจะสามารถยึดจากทรัพย์สินของนายทักษิณได้เลยหรือไม่ เลขาฯกฤษฎีกา ยืนยันว่า ดำเนินการตามขั้นตอนปกติทางกฎหมาย และทรัพย์สินที่ได้มาก็ตกเป็นของแผ่นดิน ซึ่งถือเป็นหลักปกติ ไม่ใช่กรณีใดกรณีหนึ่ง
...
ส่วนจะใช้เวลาเท่าใดในการยึดทรัพย์เข้าสู่คลัง เลขาฯกฤษฎีกา กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับขั้นตอนการสืบทรัพย์ ซึ่งต้องถามรายละเอียดจากกรมบังคับคดี