อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เปิดข้อกฎหมาย ชวนจับตาคดีมาตรา 112 ของ “ทักษิณ ชินวัตร” ชี้ ขึ้นศาลอุทธรณ์ คดีอาจพลิกหากเรียกสืบพยานเพิ่ม
วันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 นายเชาว์ มีขวด ทนายความและอดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก (Chao Meekhuad) แสดงความเห็นเรื่องคดีมาตรา 112 ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีโอกาส “พลิก” หากศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจสืบพยานเพิ่ม มีเนื้อหา ระบุว่า คำสั่งล่าสุดของอัยการสูงสุด นายอิทธิพร แก้วทิพย์ ที่ “ชี้ขาด” ให้ยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 ของนายทักษิณ ชินวัตร ถือเป็นการกลับมติคณะกรรมการอัยการที่เคยมีมติ 8 ต่อ 2 ไม่ให้อุทธรณ์ แต่สำคัญคือ แม้ในคณะกรรมการนั้น นายอิทธิพรเคยนั่งเป็นประธาน แต่ไม่ได้ลงมติ เพราะเป็นมารยาทของประธานกรรมการ จึงไม่ใช่การกลับความเห็นของตัวเอง ตามที่ถูกวิจารณ์
นายเชาว์ ระบุว่า คำสั่งให้อุทธรณ์นี้ ถือเป็นคำสั่งเด็ดขาด และจะถูกส่งให้อัยการสำนักงานคดีอาญา 8 เพื่อยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ นั่นหมายความว่าคดีจะเข้าสู่การพิจารณาอย่างเป็นทางการของศาลอุทธรณ์ ซึ่งจะช่วย “ปิดคำถามสังคม” ว่าทำไมอัยการไม่อุทธรณ์ในคดีที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และเป็นคดีที่ประชาชนจับตาอย่างกว้างขวาง ที่ผ่านมา กระบวนพิจารณาคดีชั้นต้นถูกตั้งคำถามอย่างหนัก ว่าพนักงานสอบสวนและอัยการทำหน้าที่ครบถ้วนหรือไม่ หรือมีการนำพยานหลักฐานไม่เต็มน้ำหนักจนทำให้คดีอ่อนแอ โดยแม้แต่สรุปคำพิพากษาของสำนักงานศาลยุติธรรม ยังระบุชัดว่า
“การสืบพยานหลักฐานของโจทก์ไม่สมกับภาระการพิสูจน์ในคดีอาญา พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยได้ สำหรับข้อหาร่วมกันแสดงอาฆาตมาดร้ายฯ โจทก์กล่าวอ้างแต่ไม่ได้มีพยานหลักฐานใดๆ มานำสืบเลย จึงรับฟังไม่ได้”
...
นายเชาว์ ระบุต่อว่า ก่อนฟ้องคดี ทั้งพนักงานสอบสวนและอัยการต่างมีความมั่นใจว่าพยานหลักฐาน “ดิ้นไม่หลุด” ประเด็นสำคัญคือพยานหลักฐานบางส่วน “ตกค้าง” และไม่ถูกนำเข้าสำนวนในชั้นพิจารณาศาลชั้นต้น ดังนั้น เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์ จึงเปิดช่องให้ศาลอุทธรณ์สามารถใช้อำนาจตาม มาตรา 208 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพื่อสืบพยานเพิ่มเติม ให้ข้อเท็จจริงครบถ้วน สมบูรณ์ แล้ววินิจฉัยใหม่ได้ หากศาลอุทธรณ์ใช้กลไกนี้ครบถ้วน “โอกาสที่คดีจะพลิกในชั้นอุทธรณ์มีสูง”