“อภิสิทธิ์” แนะรัฐบาลใช้การทูตเร่งแจงสังคมโลก กรณีไทย-กัมพูชา ชี้ช่องนายกฯ ตรวจสอบสหรัฐฯ เชื่อใคร ย้ำท่าทีรัฐบาลไทยต้องชัดเจน มั่นใจเป็นฝ่ายถูกละเมิดอธิปไตย ลุยเดินต่อ
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงท่าทีของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต่อกรณีการประกาศยุติปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา และการประกาศยุติการเจรจาอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไทยของทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ว่า เรื่องนี้ทุกคนเห็นตรงกันว่าสิ่งสำคัญคือเรื่องอธิปไตย และทุกคนอยากสนับสนุนกองทัพฝ่ายความมั่นคงในการปฏิบัติภารกิจ
แต่ตนขอย้ำอีกครั้งว่า เรามักตั้งคำถามที่ผิดว่า จะเลือกการทหารหรือการทูต ซึ่งความจริง 2 เรื่องนี้ไปด้วยกัน เพราะการทูตที่แข็งแกร่งจะทำให้ทหารทำงานได้ง่าย เช่น ถ้าทะเลาะกันแล้วคนโดยรอบมองว่าคุณเป็นฝ่ายถูก ก็จะง่ายขึ้น และหากคนทั้งโลกมองว่าคุณเป็นฝ่ายผิด ก็จะทำให้เหนื่อยขึ้น ดังนั้น การทูตจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ฝ่ายความมั่นคงและทหารทำงานได้เต็มที่ วันนี้มีเรื่องที่รัฐบาลทำข้อตกลงไว้ ซึ่งมีทั้งสหรัฐอเมริกาและประธานอาเซียนเป็นพยาน ซึ่งสหรัฐฯ มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ประธานาธิบดีมักจะใช้ภาษีสินค้านำเข้าเป็นเครื่องมือทุกด้าน เช่นตอนที่ปรับขึ้นอัตราภาษีจีน และประเทศอื่นในภูมิภาค ก็อ้างเรื่องยาเสพติด การเข้าเมืองผิดกฎหมาย และบางประเทศขู่ถึงเรื่องการเมืองภายในประเทศนั้นๆ เราห้ามเขาไม่ได้เพราะเป็นนโยบายของสหรัฐฯ แต่เราสามารถยืนยันได้ว่าจะไม่นำทั้ง 2 เรื่องมาผูกกัน
...
“วันนี้รัฐบาลจะต้องมีสมาธิ เรื่องการค้าสหรัฐฯ จะเจรจาหรือไม่ ต้องถามกลับว่าวันนี้เราพร้อมเจรจามากแค่ไหน เพราะสหรัฐฯ ตั้งเป้าแล้วว่าจะต้องเกิดความชัดเจนในการเจรจาภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งเหลือเวลาเพียงเดือนครึ่ง แต่สิ่งที่รัฐบาลเคยไปตกลงกรอบความร่วมมือ ทั้งเปิดการนำเข้าสินค้าเกษตร, รายการนำเข้าสินค้าโดยไม่เก็บภาษีกว่าร้อยละ 90, การยอมรับมาตรฐานการตรวจสอบของสหรัฐฯ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไทยพร้อมแล้วหรือไม่ ต้องบอกให้คนไทยรู้แล้ว และเตรียมมาตรการสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบแล้วหรือไม่ รัฐบาลจึงควรทำตรงนี้ให้ดีที่สุด ส่วนการเจรจาจะได้หรือไม่ เป็นเรื่องทางการทูตที่ค่อยไปว่ากัน และฟังข่าวประเด็นนี้แล้วยังอาจเกิดความสับสน สหรัฐฯแจ้งว่าจะระงับดีลการค้า แต่นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังว่าได้พูดคุยกันแล้ว ไม่มีปัญหา แต่ผมอยากจะนำเสนอว่า ควรตรวจสอบก่อนว่า สหรัฐฯ เคยระงับการเจรจาการค้ากับกัมพูชาหรือไม่ เพราะจะเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าสหรัฐฯ เชื่อใคร”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า พรรคประชาธิปัตย์เคยยืนยันแล้วว่าเหตุขัดแย้งไทย-กัมพูชา เกิดจากกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ฉะนั้นจะต้องดูว่าสหรัฐฯ เชื่อเราหรือไม่ เพราะหากเชื่อเรา อย่างน้อยก็ต้องระงับการเจรจากับกัมพูชาด้วย รวมถึงจากที่ได้ฟังการแถลงของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียและประธานอาเซียน จึงขอให้รัฐบาลไทยเอาให้ชัดๆ ว่าตกลง เราเดินตามปฏิญญาสันติภาพหรือไม่ เพราะจากที่ฟังจากประธานอาเซียน เขาคิดว่าไทยเดินตามปฏิญญานี้ต่อ จึงสันนิษฐานว่าที่สหรัฐฯ บอกไม่ติดใจเพราะเราเดินตามปฏิญญาหรือไม่ หากใช่ รัฐบาลจะต้องบอกให้คนไทยเข้าใจ และต้องดำเนินการตามปฏิญญา โดยไม่มีข้อจำกัดในการรักษาอธิปไตย หรือหากไม่ใช่ ก็ต้องรับผลที่ตามมาว่าเราจะทำความเข้าใจกับโลกอย่างไร ว่าที่ไทยไม่ทำตามปฏิญญา เป็นเพราะกัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดเราก่อน
“นี่เป็นการบ้านใหญ่ที่ผมอยากจะฝากแนะนำรัฐบาล ควรจัดประเด็นนี้ให้เกิดความชัดเจน เพราะผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศ นอกจากจะอยากนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นทางการเมือง ยังอยากสนับสนุนรัฐบาลอยู่แล้ว เพื่อให้ประสบความสำเร็จทั้ง 2 เรื่อง ทั้งอธิปไตยและการเจรจาการค้า”
เมื่อถามย้ำว่าในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี จะแนะนำอะไรกับรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราต้องทำให้โลกเข้าใจให้ได้ว่าไทยไม่ใช่ผู้ผิดปฏิญญาสันติภาพ และอะไรที่เราจำเป็นต้องทำเพื่อรักษาอธิปไตย ก็ต้องทำ ต้องให้เข้าใจว่าเราไม่ใช่ผู้ละเมิด และการรักษาความสัมพันธ์ด้านอื่นก็ต้องดำเนินต่อไปอย่างปกติ และต้องให้เขามั่นใจมากขึ้นว่าสิ่งที่เราพูดนั้นเป็นความจริง ด้วยการพิสูจน์ผ่านหลักฐานต่างๆ ส่วนคำถามว่าหากสหรัฐฯ ใช้มาตรการภาษีกดดันไทยควรปฏิบัติเช่นไร นายอภิสิทธิ์ ตอบว่า เราอยู่ในฝ่ายที่ถูกต้อง ก็ต้องมั่นใจว่าเราชี้แจงเขาได้ และควรกดดันฝ่ายที่เป็นผู้ละเมิดข้อตกลง.