“พิชัย” ห่วงหากมีปัญหากับสหรัฐฯ เศรษฐกิจไทยยิ่งทรุดหนัก หลัง GDP ไตรมาส 3 ขยายแค่ 1.2% ชี้เพิ่มภาษีทรัมป์ การส่งออก-การลงทุนหดหาย จี้ รมว.พาณิชย์ เร่งทำ 4 เรื่องหลัก โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตร


วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ขยายได้เพียง 1.2% ซึ่งนับว่าต่ำมาก หลังจากที่เศรษฐกิจครึ่งปีแรกขยายได้ 3% ทั้งนี้ น่าจะมาจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะปัจจัยความเชื่อมั่นทางการเมืองจากความผันผวนทางการเมืองในไตรมาส 3 และแนวโน้มในไตรมาส 4 ก็ดูไม่ดีนัก อย่างไรก็ตาม ทั้งปี 2568 เศรษฐกิจไทยน่าจะยังคงขยายตัวได้เกิน 2% ตามที่ตนได้เคยคาดการณ์ไว้

นายพิชัย ระบุต่อไปว่า เรื่องที่น่ากังวลและยังมีความสับสนคือเรื่องสหรัฐฯ หยุดการเจรจาเรื่องการค้ากับไทย ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่ามีการหยุดตามที่สำนักงานผู้แทนการค้าแห่งสหรัฐอเมริกา (สำนักงาน USTR) แจ้งมาหรือไม่ เพราะในขณะที่ไทยบอกว่าจะแยกเรื่องระหว่างการเจรจาการค้าและปัญหาไทย-กัมพูชา แต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์บนเครื่องบินล่าสุดว่าใช้มาตรการทาง Tariff แก้ข้อขัดแย้งไทย-กัมพูชา คงต้องให้ USTR ยืนยันกลับมา ซึ่งหากสหรัฐฯ ขึ้นภาษี Tariff กับไทย ไทยจะประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างมาก ซ้ำเติมจากสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อย่างที่เป็นอยู่

ในทางกลับกันถ้า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สามารถเจรจาลดภาษี Tariff ของสหรัฐฯ ลงมาได้ ก็จะทำให้ไทยได้ประโยชน์อย่างมาก เพราะไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ถึง 1.92 ล้านล้านบาทในปี 2567 คิดเป็น 18% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย และไทยได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากถึง 1.23 ล้านล้านบาทในปี 2567 ซึ่งเป็นการได้ดุลการค้ามากที่สุดในการค้าขายกับทุกประเทศ และในปี 2568 ยอดการส่งออกและการได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น การจะหาตลาดใหม่เพื่อทดแทนตลาดสหรัฐฯ น่าจะเป็นไปได้ยากมากหรือเป็นไปไม่ได้เลย

...

ดังนั้น การเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ จึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างมาก ซึ่งการที่ตนต้องวิ่งไปพบกับ USTR Jamieson Greer ถึง 2 ครั้ง ที่เกาหลีใต้และฝรั่งเศส อีกทั้งรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สามารถเจรจาภาษีทรัมป์ได้ในอัตรา 19% ซึ่งเป็นอัตราที่เท่าๆ กับประเทศในภูมิภาค ทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ และการส่งออกของไทยจึงไม่กระทบ โดยเดือนกันยายน 2568 การส่งออกของไทยยังขยายได้ถึง 19% และต้องถือเป็นผลงานที่เด่นชัด และต้องขอขอบคุณ นายกรัฐมนตรีอนุทิน ที่เคยกล่าวชมเชย “2 พิชัย” คือ ตนและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ทำเรื่องการเจรจาดังกล่าวสำเร็จ

หากประเทศไทยโดนขึ้นภาษี Tariff หรือถูกกลับไปเก็บภาษีที่ 36% ตามที่โดนเรียกเก็บแต่แรก จะทำให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมาก การส่งออก และการลงทุนจะหดหาย เศรษฐกิจไทยจะยิ่งทรุดหนัก เพราะเหตุนี้ตนจึงเห็นด้วยกับกระทรวงพาณิชย์ที่จะยังคงต้องเจรจากับสหรัฐฯ ให้จบโดยเร็วจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบการทำงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ใน 4 เรื่องสำคัญที่ถือเป็น KPI ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่ได้เคยแจ้งล่วงหน้าแล้ว พบว่ายังไม่สามารถดำเนินการตามที่ประชาชนคาดหวังได้แต่อย่างใด

โดยเฉพาะในข้อแรก 1. ดูแลราคาสินค้าเกษตร เพราะราคาข้าวเปลือกนาปีตกต่ำอย่างมากเหลือเพียงกิโลกรัมละ 5.40 บาทเท่านั้น ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 18 ปี เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ข้าวเปลือกนาปี อยู่ที่ตันละ 10,000-12,000 บาท และข้าวเปลือกนาปรังราคาตกลงมาอยู่ที่ตันละ 8,800-9,000 บาท ขณะนั้นชาวนาก็เดือดร้อนกันมากแล้ว ราคาข้าวเปลือกในปัจจุบันที่ต่ำมากจะทำให้ชาวนาดำรงชีพอยู่ไม่ได้ และได้รับความเดือดร้อนกันอย่างมาก อีกทั้งราคามะพร้าวเหลือเพียงลูกละ 2 บาทเท่านั้น มันสำปะหลังและไข่ไก่ก็ยังมีราคาไม่ดีนัก จึงอยากให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เร่งแก้ไข นอกจากนี้ เกษตรกรจำนวนมากยังประสบความเดือดร้อนจากภาวะน้ำท่วมที่เกิดจากการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

2. การรักษาระดับการส่งออก โดยการส่งออกในเดือนกันยายนก่อนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์คนใหม่จะเข้าทำงาน และหลังจากที่เจรจาได้อัตราภาษีทรัมป์แล้ว การส่งออกยังขยายได้ถึง 19% ทำให้ 9 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกขยายได้ถึง 13.9% ซึ่งต้องดูว่าในเดือนตุลาคมและเดือนต่อๆ มา การส่งออกจะยังคงรักษาระดับได้หรือไม่ ซึ่งการส่งออกทั้งปี 2568 น่าจะต้องเกิน 10% ตามที่ได้คาดการณ์ไว้แล้วตั้งแต่กลางปี ซึ่งขอตอกย้ำว่าการส่งออกจะยังเป็นพระเอกของเศรษฐกิจไทยในปีนี้

3. การเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) โดยอยากให้สามารถเจรจาเขตการค้าเสรีกับ EU, เกาหลีใต้, แคนาดา, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ที่เจรจาค้างอยู่ให้สำเร็จได้โดยเร็ว โดยเฉพาะ FTA กับ EU ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก ซึ่งน่าจะเสร็จได้ภายในสิ้นปีนี้ ตามที่ได้เคยมีการตกลงกันไว้ และ FTA กับเกาหลีใต้ ควรจะเสร็จได้ตั้งแต่กลางปี 2568 แล้วจากการเจรจากันที่เกาะเชจู ประเทศเกาหลีใต้ ที่ตนได้พบกับ USTR Jamieson Greer เป็นครั้งแรกด้วย ซึ่งถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลของประเทศเกาหลีใต้เสียก่อน โดยประธานาธิบดีเกาหลีใต้ถูกขับออก ก็น่าจะเสร็จไปแล้ว รวมถึง FTA กับประเทศแคนาดา ที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลของประเทศแคนาดาเช่นกัน ส่วนการเจรจาปรับแก้ไข FTA กับอินเดีย ต้องระวังว่าอินเดียจะปรับลดประเภทสินค้ามากกว่าจะเพิ่มรายการสินค้า เพราะไทยได้ดุลการค้าจากอินเดีย

4. การแก้ปัญหาสินค้าด้อยคุณภาพยังไม่ปรากฏผลเพิ่มเติมจากที่ทำไว้เดิมเท่าที่ควร เพราะยังมีสินค้าด้อยคุณภาพที่ไหลเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการแก้ปัญหานอมินีก็เช่นกัน ที่ยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก และปัญหานอมินีนี้ น่าจะมีปัญหาการฟอกเงินของทุนเทาของกลุ่มสแกมเมอร์ที่ปะปนเข้ามาเพื่อฟอกเงินด้วย ซึ่งประเทศต่างๆ ได้ทำการยึดเงินกันเป็นแสนๆ ล้านบาทแล้ว ทั้งสหรัฐฯ อังกฤษ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง แต่ประเทศไทยที่คนเชื่อกันว่าน่าจะมีจำนวนมาก แต่การดำเนินการยังไม่ไปถึงไหน

นายพิชัย ระบุในช่วงท้ายว่า เหลือเวลาอีกไม่นานก่อนที่จะมีการยุบสภา จึงอยากให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เร่งดำเนินการ 4 เรื่องสำคัญนี้ ให้เป็นผลสำเร็จโดยเร็วตามความคาดหวังของประชาชน เพื่อสร้างผลงานที่จับต้องได้ โดยเฉพาะเรื่องการแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะราคาข้าวตกต่ำที่มีปัญหาอย่างมาก และสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวนาอย่างแสนสาหัสในปัจจุบัน จึงอยากขอเป็นกำลังใจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในการทำงาน ซึ่งตอนนี้น่าจะทราบแล้วว่างานในกระทรวงพาณิชย์นั้นยากลำบากขนาดไหน ตามที่ตนได้เคยเตือนไว้ล่วงหน้าแล้ว.