“น.อ.อนุดิษฐ์” แจง “ลิซ่า” ปมคลิป “ชนนพัฒฐ์” เป็นความเห็นส่วนบุคคล ชี้ พรรคกล้าธรรมไม่เคยให้สัญญาให้เก้าอี้รัฐมนตรีกับใคร เป็นอำนาจนายกฯ ลั่น หนุนตรวจสอบโปร่งใสตามกฎหมาย
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 16 พฤศจิกายน 2568 น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ประธานยุทธศาสตร์พรรคกล้าธรรม ชี้แจงต่อคำถามของ น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กรณีคลิปเสียงที่ นายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว สส.สงขลา พรรคกล้าธรรม ผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า ต้องขอขอบคุณสำหรับคำถามและข้อกังวลที่สะท้อนความห่วงใยต่อมาตรฐานการเมืองไทย ขอเรียนชี้แจงอย่างตรงไปตรงมาบนหลักการเดียวกับที่ตนยืนอยู่มาตลอดว่า “พรรคกล้าธรรมไม่มีนโยบายและไม่เคยมีการให้สัญญาใดๆ เกี่ยวกับตำแหน่งรัฐมนตรีแก่ นายชนนพัฒฐ์ คำพูดที่ปรากฏในคลิปเป็นความเห็นส่วนบุคคลของเจ้าตัว ไม่ใช่นโยบาย ไม่ใช่ยุทธศาสตร์ และไม่ใช่ท่าทีของพรรคกล้าธรรม”
น.อ.อนุดิษฐ์ เผยต่อไปว่า พรรคกล้าธรรมไม่เคยมีการพูดคุยหรือให้คำมั่นสัญญาเรื่องตำแหน่งทางการเมืองกับผู้ใด เพราะตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นดุลยพินิจของนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เรื่องที่พรรคหรือบุคคลใดจะไปกำหนดล่วงหน้าได้ กรณีของนายชนนพัฒฐ์ อยู่ในกระบวนการตรวจสอบตามกฎหมาย ซึ่งพรรคกล้าธรรมมีจุดยืนชัดเจนตั้งแต่วันแรกว่าไม่ปกป้อง ไม่แทรกแซง ไม่ขวางการตรวจสอบ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเคารพสิทธิในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหาตามหลักนิติรัฐเช่นกัน ทุกอย่างต้องถูกตัดสินด้วยข้อเท็จจริงในคดี ไม่ใช่ด้วยกระแสหรือแรงกดดันทางการเมือง ประเด็นที่สังคมควรมองร่วมกันคือมาตรฐานเดียวกันของทั้งสภาฯ
...
“ผมยืนยันเหมือนเดิมว่า เราไม่เลือกปฏิบัติไม่ว่าฝ่ายใด ถ้ามีข้อกล่าวหาทุกคนควรถูกตรวจสอบอย่างเท่าเทียม ในสภาฯ ปัจจุบันมี สส.หลายท่านที่อยู่ระหว่างการต่อสู้คดีของตนเอง แต่ยังปฏิบัติหน้าที่ได้ ดังนั้นถ้าเราจะขอให้ใครใช้มาตรฐานหนึ่ง เราก็ควรใช้มาตรฐานเดียวกันกับทุกฝ่ายครับ ซึ่งผมเข้าใจและรับฟังข้อกังวลของคุณลิซ่า (น.ส.ภคมน) อย่างจริงใจ แต่ในฐานะผู้ทำงานการเมืองมายาวนาน ผมขอเรียนด้วยความจริงใจว่า การตัดสินความน่าเชื่อถือของพรรคจากคำพูดของใครคนหนึ่งในคลิป อาจยังไม่เป็นธรรมกับพรรคและบุคคลอื่นในพรรคที่ทำงานด้วยความตั้งใจสุจริต”
ในช่วงท้าย น.อ.อนุดิษฐ์ ระบุด้วยว่า หน้าที่ของตนคือยืนบนหลักการ กฎหมาย และความโปร่งใส ไม่ตามแก้ตัวแทนใคร และไม่เอาตัวเองไปผูกกับการกระทำส่วนบุคคลของใคร พรรคกล้าธรรมพร้อมรับผิดชอบต่อสังคม ถ้าข้อเท็จจริงชี้ว่ามีใครกระทำผิดจริง แต่ในขณะเดียวกันเราต้องปฏิบัติตามข้อเท็จจริงและกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่ตามแรงกดดันหรือการตีความเจตนาของคำพูดในคลิป.