อดีตที่ปรึกษาของ รมว.ต่างประเทศ สมัยรัฐบาลแพทองธาร แนะรัฐบาลพิสูจน์ข้อเท็จจริงหลักฐานไทย-กัมพูชา ตามหลักนิติรัฐสากล สู้กับ “กัมพูชา” ในเวทีโลก ชี้ ผู้นำต้องไม่ลอยตัว
วันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 นางสาวชยิกา วงศ์นภาจันทร์ อดีตที่ปรึกษาของ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์) กล่าวถึงสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา โดยมองว่า ไทยกำลังเผชิญ “สงครามหลายเวที” พร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นสงครามที่ชายแดน สงครามการช่วงชิงพันธมิตรในเวทีโลก สงครามกับเครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติ และสงครามข้อมูลข่าวสารในสื่อต่างประเทศ ซึ่งในกรณีที่มีสำนักข่าวต่างประเทศรายงานข่าวผิดพลาดว่า ทุ่นระเบิดที่กัมพูชาลักลอบเข้ามาวางในอาณาเขตของไทย เป็นทุ่นระเบิดเก่า แม้จะมีการแก้ข่าวแล้วว่าเป็นข้อผิดพลาดของคนรายงาน
ประกอบกับที่ล่าสุด นายฮุน มาแนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ส่งจดหมายถึงประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC กล่าวหาว่าไทยยิงพลเรือนกัมพูชาจนบาดเจ็บ 3 ราย ละเมิดปฏิญญาสันติภาพและข้อตกลงหยุดยิงก่อนนั้น นางสาวชยิกา เห็นว่า เป็นสัญญาณแรงที่รัฐบาลไทย ต้องพึงระลึกว่า ไทยจะชนะสงครามในเวทีประชาคมโลก และสงครามข่าวสารที่กัมพูชาสร้างสถานการณ์ เล่นบทเหยื่อว่าเป็นผู้ถูกกระทำได้ ต้องเน้น 2 ประเด็นอย่างที่รัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยได้เน้นย้ำ คือ “ความโปร่งใส” และ “ความน่าเชื่อถือ” ดังนั้น เพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดของชาติ รัฐบาลจำเป็นต้องเดินหน้า 2 ยุทธศาสตร์เร่งด่วน คือ
...
1. ยุทธศาสตร์ “พิสูจน์ข้อเท็จจริงเชิงนิติรัฐสากล” ต้องนำเสนอหลักฐานให้สอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศอย่างรวดเร็ว เช่น คู่มือการรายงานภายใต้ Article 7 และแนวปฏิบัติของ APMBC , ICRC , UNMAS ตามอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งมีกรอบ “ความโปร่งใส ตรวจสอบได้” เป็นหัวใจสำคัญการพิสูจน์ที่สอดคล้องมาตรฐานสากล ตั้งแต่ forensic , chain-of-custody , พิกัดพื้นที่, รายงาน EOD , พยานแวดล้อม จะทำให้ “หลักฐานชุดเดียวกัน” สามารถใช้ในทุกเวที ตั้งแต่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC , สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ หรือ UNGA , กลไกสิทธิมนุษยชน , รายงานพิเศษ UN , การหารือทวิภาคี และเวทีอาเซียนได้
2. ยุทธศาสตร์ “การสื่อสารของรัฐไทย (Unified Strategic Communication)” การสื่อสารกับประชาคมโลกต้องเดินเป็น “เสียงเดียวกัน” ระหว่างกองทัพและกระทรวงการต่างประเทศ แม้กองทัพจะสื่อสารรวดเร็วทันใจ มีหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ในสื่อชั้นนำของไทยทั่วไป และยังพาผู้แทน AOT ลงพื้นที่ได้ทันท่วงทีต่อสถานการณ์ในประเทศ แต่ในทางกฎหมายระหว่างประเทศ ถ้อยแถลงที่ผูกพันรัฐไทย 2 ช่องทางหลัก คือ นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตามหลักปฏิบัติมาตรฐานที่ใช้จริงทั่วโลกตามกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ และเป็นข้อเท็จจริงเชิงโครงสร้างของรัฐที่ UN ใช้เป็นบรรทัดฐาน การให้ข้อมูลนำโดยกองทัพ ขอย้ำว่าเป็นเรื่องที่ดี ตรงกับความต้องการของคนในประเทศ แต่จะมีพลังและประสิทธิภาพมากขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ หากดำเนินการประสาน “ช่องทางทางการ” ของรัฐ โดยกระทรวงการต่างประเทศ อย่างรวดเร็วควบคู่กันไป เพื่อสร้างผลบวกในเวทีระหว่างประเทศ อย่างมีนัยสำคัญ
นางสาวชยิกา ระบุว่า กุญแจสำคัญในการ “ชนะสงครามหลายมิติ” ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ คือรัฐบาลต้องแสดงให้ชัดว่า ไทยเป็นรัฐที่มีอำนาจอธิปไตยของตัวเอง ขณะเดียวกันมีความโปร่งใส รับผิดชอบ และเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ จึงขอเสนอให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ใช้ “อำนาจสั่งการทางการเมือง” เพื่อให้การพิสูจน์ข้อเท็จจริง และการสื่อสารระหว่างประเทศดำเนินไปอย่างเป็นระบบ มีเอกภาพ และมีความเป็นรัฐอย่างแท้จริง และการปล่อยให้หน่วยงานข้าราชการต่างคนต่างทำ โดยที่ผู้นำ “ลอยตัวเหนือปัญหา” แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ไม่เข้าใจกติกาการทูตและกฎหมายระหว่างประเทศ จนอาจทำให้ไทยเสียแต้มในประชาคมโลกได้
นางสาวชยิกา ยังย้ำว่า การปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน เป็นสิทธิที่ชอบธรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศของไทย ไม่ต้องขออนุญาตใคร ควรดำเนินการโดยเด็ดขาดทันที แต่ไทยต้องอยู่บนหลักการตอบโต้ที่ได้สัดส่วน