“อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด” ซัด รัฐบาลพลิกลิ้น-ไร้ทิศทาง คะแนนนิยมลดลงไม่หยุด ชี้ เดินหลงทางกลางพายุวิกฤตศรัทธา ติงคำพูดนายกรัฐมนตรี ไม่สน “ภาษีทรัมป์” อาจชักศึกเข้าบ้าน
วันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีท่าทีของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ระบุ ไม่สนแล้ว ภาษีทรัมป์ ขายประเทศนี้ไม่ได้ ก็ไปขายประเทศอื่นว่า กว่าจะถึงวันยุบสภา คงได้ยินนายอนุทิน ขอโทษคนไทยอีกหลายครั้ง คราวก่อนขอโทษที่พูดว่าไทยรุกล้ำพื้นที่กัมพูชา ในระยะเวลาอันใกล้อาจต้องขอโทษที่บอกว่าขายสินค้าให้สหรัฐอเมริกาไม่ได้ก็ไปขายที่อื่น ทั้งที่ตอนนายอนุทิน ไปลงนามถ้อยแถลงเพื่อนำไปสู่ สันติภาพไทย-กัมพูชา โดยมี โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และนายอันวาร์ อิบราฮัม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ร่วมเป็นสักขีพยาน เคยประกาศเชิดชูการลงนามถ้อยแถลงสันติภาพไทย-กัมพูชา ว่าเป็นก้าวประวัติศาสตร์ นับหนึ่งสู่สันติภาพ ถือเป็นความสำเร็จ
แต่หลังเผชิญปัญหาชายแดนกัมพูชา สแกมเมอร์ ทุนเทา-ดำ ปัญหาการฟอกเงิน สินค้าเกษตรราคาตกต่ำ ปัญหาน้ำท่วม ที่กระทบต่อความเชื่อมั่นรัฐบาลอย่างหนัก ก็หันมาพูดใหม่ว่า ไม่สนแล้ว ภาษีทรัมป์ ขายประเทศนี้ไม่ได้ก็ไปขายประเทศอื่น ในขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กลับพูดไปอีกทางว่า สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในประเทศคู่ค้าหลักที่รัฐบาลให้ความสำคัญ ทำประชาชนสงสัยว่ารัฐบาลกำลังเดินเกมไหนกันแน่ จะไปขายให้ประเทศไหนทดแทนดิจิทัลฟุตพริ้นท์ทำงาน คดีพลิกเร็ว จนทำประชาชนสับสนว่า ตกลงรัฐบาลมีแนวทางต่อการสร้างสันติภาพและภาษีทรัมป์อย่างไร
นายอนุสรณ์ ระบุว่า นายอนุทิน ต้องปรับโฟกัสให้ถูกจุด ว่าตกลงจะให้สหรัฐอเมริกาเป็นมหามิตรหรือเป็นศัตรู ทะเลาะกับสหรัฐอเมริกาได้คุ้มเสียหรือไม่ รู้หรือยังว่าปัญหาอยู่ตรงไหน ประชาชนตั้งคำถามถึงภาวะผู้นำที่พูดแล้วอาจชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน ตอนไปลงนามสันติภาพก็บอกว่าประสบความสำเร็จ คล้อยหลังกลับมาไม่นานกลับพลิกลิ้นจนถูกตั้งคำถามว่า กำลังหันหลังให้แนวทางการสร้างสันติภาพหรือไม่ ซึ่งอาจนำความเสียหายมาสู่ประเทศชาติได้
...
“พรรคฝ่ายค้ำ จะมองว่ารัฐบาลเสียงข้างน้อย ยังไม่ได้ทำอะไรเสียหายก็เป็นสิทธิ แต่ขอยืนยันว่าเป็นความเห็นและมุมมองที่แตกต่าง ตรงกันข้ามกับพรรคเพื่อไทย ที่เห็นว่ายิ่งนานวัน ท่าทีที่ย้อนแย้งสับสนนี้ ยิ่งก่อให้เกิดความสับสน เหมือนรัฐบาลเดินหลงทางกลางพายุวิกฤตศรัทธาที่ถาโถมไม่หยุด ซึ่งพรรคฝ่ายค้ำต้องมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบ”