“พีระพันธุ์” เปิดโปงวาระซ่อนเร้น เชื่อ กัมพูชาจ้องขยับหลักเขต 73 หวังเปลี่ยนเขตแดนทางทะเล จ่อฮุบทรัพยากรพลังงานในอ่าวไทย ชี้ ไทยสูญเสียโอกาส 52 ปี จี้กองทัพเร่งทวงคืน

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2568 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชารอบใหม่ ว่า ขณะที่สังคมกำลังมุ่งความสนใจไปที่สถานการณ์ชายแดนบนบก แต่เป้าหมายที่แท้จริงของกัมพูชาก็คือ การอ้างสิทธิในเขตแดนทางทะเล ซึ่งเกี่ยวข้องกับทรัพยากรพลังงานมหาศาลที่ไทยสูญเสียโอกาสใช้ประโยชน์มานานกว่า 52 ปี โดยระบุว่า “เป้าหมายที่แท้จริงของกัมพูชาไม่ใช่แค่เขตแดนบนบก”

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า สถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา วันนี้ถูกจดจ่อไปที่ชายแดนบนบกทางภาคอีสาน แต่ความเป็นจริงเขตแดนที่ต้องเป็นห่วงและต้องทวงคืนไปพร้อมๆ กันนอกจากปราสาทตาควายแล้ว คือเขตแดนในทะเลที่พิพาทกันมาตั้งแต่ พ.ศ. 2516 ที่อยู่ๆ กัมพูชาก็อ้างการลากเส้นเขตแดนในทะเลตามอำเภอใจ ไม่สนใจหลักสากล ทำให้เกิดพื้นที่อ้างสิทธิทางทะเลมาจนทุกวันนี้

เชื่อว่าเขาต้องการขยับเส้นเขตแดนบนบกตามแนวชายแดนภาคอีสานเพื่อให้กระทบไปถึงหลักเขตสุดท้ายก่อนลงทะเล คือหลักเขตที่ 73 เพราะหากขยับหลักเขตนี้ได้ ก็เท่ากับเส้นเขตแดนในทะเลจะเปลี่ยนตามเขตแดนทางทะเลตรงนี้มีความสำคัญมาก เพราะไม่ใช่เป็นแค่เขตแดนเท่านั้น แต่หมายถึงทรัพยากรทางพลังงานใต้พื้นทะเลตรงบริเวณนั้นด้วย และน่าจะเป็นเป้าหมายสำคัญต่อไปของเขา เราจึงควรป้องกันและเอาจริงกับเรื่องนี้ได้แล้ว ข้อพิพาทจากเขตแดนในทะเลนี้ทำให้ไทยเราไม่สามารถพัฒนาหรือนำทรัพยากรทางพลังงานมาใช้ประโยชน์ได้เป็นเวลากว่า 52 ปีแล้ว ทั้งๆ ที่เป็นพื้นที่ของเราเองแท้ๆ เสียเวลาไปกับความเกเร เพราะกัมพูชาอ้างสิทธิทับซ้อนลากเส้นเขตแดนทางทะเลตามหลักเกณฑ์ของตนเองไม่ใช่หลักสากล

...

นายพีระพันธุ์ ระบุต่อไปว่า พอมาปี 2540 กัมพูชาก็เกเรเพิ่มขึ้นอีกโดยการถมทะเลให้แผ่นดินยื่นเข้าไปในทะเลอีกหลายร้อยเมตร อ้างว่าเป็นเขื่อนกันคลื่น แต่ตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศอาจใช้เป็นข้ออ้างว่าเป็นเขตต่อเนื่องจากแผ่นดิน ที่จะมีผลต่อการลากเส้นแบ่งเขตแดนในทะเลเพิ่มขึ้นจากเดิมได้อีก ซึ่งจะกระทบถึงทรัพยากรทางพลังงานของชาติในทะเลยิ่งขึ้นไปอีกเช่นกัน เชื่อว่าเจตนาที่แท้จริงของกัมพูชาคือเรื่องนี้ ซึ่งกองทัพเรือรู้เรื่องนี้ดี แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่เคยมีคำสั่ง รัฐบาลไทยก็ได้แต่ประท้วงตามฟอร์ม

“น่าอนาถจริงๆ ประท้วงไป 3 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2541 และอีกครั้งล่าสุดคือเมื่อปี 2564 นี่เอง เป็นไงครับ 24 ปี ตั้งแต่ปี 2540 ทำได้แค่ประท้วง และประท้วงแค่ 3 ครั้ง ปีนี้ 2568 เพิ่มเป็น 28 ปี แล้ว ก็ยังเงียบอยู่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และไม่มีการพูดถึง คงต้องรอการประท้วงครั้งต่อๆ ไปจนกว่าจะถูกยึดไปอีกมั้งครับ“

นายพีระพันธุ์ ยังตั้งคำถามว่ารัฐบาลไทย กองทัพไทย ทำได้แค่นี้จริงๆ หรือ เราน่าจะใช้โอกาสนี้จัดการแก้ไขเรื่องนี้ด้วย ถ้าไม่ทำลายทิ้ง ก็ทำบ้าง เขาทำได้ เราก็ทำได้ เรื่องประโยชน์ชาติเป็นสุภาพบุรุษไม่ได้ แม้กองทัพเรือจะมีความพร้อม แต่กลับได้รับแจ้งว่าไม่มีคำสั่งให้ดำเนินการทวงคืนเขตแดนทางทะเล

นายพีระพันธุ์ บอกอีกว่า ช่วงที่เกิดการปะทะกันเมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ตอนนั้นตนเองอยู่ในคณะรัฐมนตรีในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ต้องทวงคืนทรัพยากรพลังงานให้ประเทศ เห็นกองทัพเรือเตรียมความพร้อมแล้วแต่ได้รับแจ้งว่าไม่มีคำสั่ง นายพีระพันธุ์ บอกว่า ได้แจ้งกับทางกลาโหมให้ใช้โอกาสนี้ทวงคืนเขตแดนทางทะเลด้วย ไม่ใช่ทวงคืนเฉพาะบนบก เพราะมีทรัพยากรพลังงานที่มีค่ามหาศาลสำหรับคนไทยและประเทศไทยและเป็นของเราอย่างถูกต้อง แต่จนวันนี้ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พร้อมถามกองทัพเรือว่า “วันนี้พร้อมที่จะเด็ดขาดทวงเขตแดนทางทะเลของเราคืนหรือยัง ถ้าพร้อม รออะไรครับ“