นายกฯ อนุทิน เปิดหลักสูตร วปอ. รุ่น 68 ย้ำความมั่นคงแห่งชาติ คือผลลัพธ์ของความร่วมมือระหว่าง ภาครัฐ เอกชน และประชาชน ยอมรับสถานการณ์ “ไทย-กัมพูชา” เปลี่ยน ทำให้ต้องปรับยุทธศาสตร์เตรียมพร้อม


เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 12 พ.ย.2568 ที่ อาคารอเนกประสงค์ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดการศึกษาหลักสูตรป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 68 และกล่าวบรรยาย หัวข้อ บทบาทของภาครัฐ เอกชน และการเมือง ในการรักษาความมั่นคงแห่งชาติ โดยมีพลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พลเรือเอก ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พลเอก สิทธา มหาสันทนะ ผู้บัญชาการสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ พลโท ทักษิณ สิริสิงห์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร และนักศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 68 เข้าร่วมด้วย


นายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดหลักสูตรว่า วันนี้รู้สึกดีใจที่ได้กลับมาอีกครั้ง ในฐานะที่เคยเป็นนักศึกษาหลักสูตร วปอ. รุ่นที่ 61 การได้พบกับพี่น้องชาว วปอ. คือการได้พบกับบุคลากรทรงคุณค่าของประเทศ เป็นผู้นำระดับสูงจากทุกภาคส่วน ทุกท่านมาอยู่ที่นี่ก็ด้วยพลังแห่งความมุ่งมั่นในการจะร่วมกันสร้างความมั่นคง ความก้าวหน้า และอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศไทยของเรา

ภัยแนวรบแบบใหม่

นายกรัฐมนตรี กล่าวเชื่อว่าทุกท่านคงมีประสบการณ์ และตระหนักดีว่าในยุคนี้ “ภัยคุกคามต่อความมั่นคง” ไม่ได้มาในรูปแบบของ “การรบด้วยอาวุธ” เสมอไป แต่แฝงมาในรูปของสงครามการแข่งขันทางข้อมูลการค้า เศรษฐกิจดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความผันผวนของตลาดโลก อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของทรัพยากร และภูมิรัฐศาสตร์ ทุกครั้งที่ได้ไปร่วมการประชุมนานาชาติจะเห็นได้ชัดว่า “ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ” ได้กลายเป็น “แนวรบใหม่” ของทุกประเทศ หากเศรษฐกิจสั่นคลอน ความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้น ความไม่พอใจในสังคมก็จะขยายตัว มีผลต่อทั้งเสถียรภาพทางการเมือง และความมั่นคงทางสังคม ดังนั้น ภาครัฐจึงต้องสร้างเศรษฐกิจที่ไม่พึ่งพาเพียงภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่ง แต่เป็นเศรษฐกิจที่มีความสมดุลโดยรัฐบาลนี้มุ่งเน้นประคับประคองผู้มีรายได้น้อยให้มีกำลังพอที่จะยืนได้ด้วยตนเอง เช่น “โครงการคนละครึ่ง พลัส” ที่ดำเนินอยู่นี้ ซึ่งสำคัญที่คำว่า “พลัส” เพราะมีการอบรมผู้ประกอบการให้เข้าถึงช่องทางการค้าขายออนไลน์ เป็นการเปิดประตูแห่งโอกาสใหม่ ๆ ให้ด้วย

...


เอกชน แถวหน้าสนามศก.

นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงบทบาทภาคเอกชนต่อความมั่นคงชาติ ภาคเอกชนถือเป็น “แนวหน้า” ในสนามเศรษฐกิจในหลายประเทศ ผู้ประกอบการ SMEs ถือเป็น “กระดูกสันหลัง” ของเศรษฐกิจ เพราะทุกการลงทุนคือ การสร้างงาน สร้างรายได้ และลดแรงกดดันทางสังคม รัฐบาลจึงมุ่งสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน โลจิสติกส์ ดิจิทัล และพลังงานสะอาด ที่สำคัญคือ การปฏิรูปกฎหมายให้เอื้อต่อผู้ประกอบการ การ “กิโยติน” กฎหมายจะทำทุกอย่างให้ง่ายขึ้น ด้วยการลดความซ้ำซ้อนทางกฎหมาย ปรับปรุงทุกอย่างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

การเมืองต้องมั่นคง

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า อีกปัจจัย คือการเมือง ไม่มีชาติใด มั่นคงได้ หากการเมืองไม่มั่นคง “เสถียรภาพทางการเมือง” คือเครื่องมือสำคัญในการรักษาความมั่นคงในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และความเชื่อมั่นของประชาชน รัฐบาลจะต้องรักษาเอกภาพ และความสมดุลในความสัมพันธ์กับทุกภาคส่วน ซึ่งนี่ก็เป็นความเฉพาะตัวของการเมืองไทย ความเห็นต่างเป็นเรื่องธรรมดาแต่ต้องพยายามไม่ให้ความเห็นต่าง กลายเป็นความแตกแยก เมื่อบ้านมีความเข้มแข็ง มีความสามัคคี ก็จะมีความพร้อมสูงในการออกไปแข่งขันนอกบ้าน


การเมืองมั่นคง โลกเชื่อมั่น

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสนำทีมไทยแลนด์เข้าร่วมการประชุมนานาชาติทั้ง ASEAN Summit ที่มาเลเซีย และ APEC Summit ที่เกาหลีใต้ ทั้งสองเวทีสะท้อนว่า “เสถียรภาพทางการเมืองภายใน” คือ เงื่อนไขสำคัญของ “ความมั่นคงทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ” ประเทศที่มีความต่อเนื่องทางนโยบาย ประเทศที่โลกเชื่อมั่นว่าจะยืนหยัดบนหลักการและสันติภาพ ยึดมั่นในหลักนิติธรรม และระเบียบโลก คือประเทศที่นักลงทุนอยากเข้ามาลงทุน ดังนั้นจึงต้องแก้ข้อกังวล และยืนยันว่า ประเทศไทยนั้นแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล แต่ไม่เคยให้ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาส่งผลกระทบโดยตรงต่อนักลงทุน ไทยได้ส่งสัญญาณชัดเจนถึงความพร้อมในการเป็น “สะพานเชื่อมภูมิภาค” ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า และความมั่นคงทางพลังงาน ไทยพร้อมเป็น Hub ในหลายด้าน โดยเฉพาะด้านความมั่นคงทางอาหาร สุขภาพ หรือแม้กระทั่งการปราบอาชญากรรมข้ามชาติ ด้วยภูมิศาสตร์และความพร้อมของไทย 

การทูตเชิงรุก ยืนในเรดาร์โลก

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ไทยจึงได้เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมปราบปรามสแกมเมอร์ในภูมิภาคด้วย การหารือในเวที APEC และ ASEAN ทำให้ไทยเปิดประตูสู่ความร่วมมือใหม่กว่า 10 ประเทศ นี่ไม่ใช่เพียงการเจรจาเศรษฐกิจ แต่คือการสร้างความมั่นคงเชิงรุกที่ทำให้ไทยยืนอยู่ในตำแหน่ง “ผู้ร่วมกำหนดอนาคตของภูมิภาค” หรือที่นักวิเคราะห์หลายคนกล่าวว่า ไทยได้กลับมาอยู่ในเรดาร์ของโลกแล้ว

ใช้ช่องทางการทูตอย่างอดทน

นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวว่า อย่างไรก็ดี ขณะที่การดำเนินการทางการต่างประเทศของไทยกำลังเป็นไปด้วยดี สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา กลับมาเดินสวนทางอีกครั้ง ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเป็นบททดสอบสำคัญของรัฐบาลและกองทัพไทย ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีเข้ารับหน้าที่ ได้ปกป้องอธิปไตยของชาติด้วยความเด็ดขาด และขณะเดียวกัน ก็รักษาช่องทางการทูตอย่างอดทน เพื่อคงสถานะความชอบธรรมของประเทศไทยบนเวทีโลก จนกระทั่งมีถ้อยแถลงแนวทางสันติภาพร่วมกัน โดยมีอาเซียนและสหรัฐฯ เป็นสักขีพยาน และก็เป็นผลดีกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจของไทยกับอีกหลายประเทศด้วย


ต้องเปรียบยุทธศาสตร์อีกรอบ

นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า จากสถานการณ์ทำให้ต้องเปลี่ยนมาตรการและยุทธศาสตร์กันอีกครั้ง ในฐานะรัฐบาล มีหลายสิ่งต้องปกป้องรักษาไว้ และดำเนินการเพื่อความมั่นคงของชาติ

1. ความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน รัฐบาลต้องเตรียมความพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์

2. การบริหารการต่างประเทศ ที่ต้องให้ประชาคมโลกรับรู้ถึงเหตุการณ์ และต้องใช้กลไกในการประท้วงเพื่อรักษาสิทธิทางการต่างประเทศให้ครบถ้วน

3. การทหาร รัฐบาลได้ให้ไฟเขียวในการปฏิบัติการที่จำเป็นในอนาคต โดยจะยึดถือระเบียบโลกอย่างเคร่งครัดเพื่อไม่ให้ไทยเกิดข้อเสียเปรียบในระยะยาว ไม่ว่าสถานการณ์จะนำไปที่จุดใด

4. การเศรษฐกิจ แน่นอนว่า แนวทางสันติภาพเปลี่ยนแปลงไป จะส่งผลต่อการเจรจาทางเศรษฐกิจในบางเรื่องไม่มากก็น้อย แต่มั่นใจว่า ด้วยการเตรียมการทุกด้านอย่างรอบคอบจะสามารถรักษาผลประโยชน์สูงสุดของประเทศไว้ได้

ลั่นยุทธศาสตร์พร้อม

นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในตอนท้ายว่า เรื่องความมั่นคงของชาติ ถ้ามองภาพรวม และมียุทธศาสตร์ที่พร้อม บูรณาการ และที่สำคัญ มีความแน่วแน่ในผลประโยชน์ของชาติ ก็จะรักษาความมั่นคงไว้ได้เสมอ ความมั่นคงแห่งชาติ คือผลลัพธ์ของความร่วมมือระหว่าง ภาครัฐ เอกชน และประชาชน ประเทศไทยจะมั่นคงได้ก็ต่อเมื่อผู้นำในทุกระดับร่วมกันยืนอยู่บนความจริง คุณธรรม และความรับผิดชอบ