“ธรรมนัส” ยันสถานการณ์น้ำท่วมสามารถจัดการได้ ไม่ซ้ำรอยปี 2554 ส่วนระดับน้ำในพื้นที่ กทม.-ปริมณฑล ระบายได้เป็นอย่างดี โชคดีน้ำทะเลไม่หนุน คาด 20 พ.ย. สถานการณ์น้ำจังหวัดต่างๆ เข้าสู่สภาวะปกติ


วันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 เวลา 09.30 น. ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำทั่วประเทศ ที่กรมชลประทาน โดยมีนายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข ปลัดกระทรวงเกษตรฯ พร้อมผู้บริหารกรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ก่อนกล่าวภายหลังการประชุมว่า ขณะนี้สถานการณ์น้ำในลุ่มเจ้าพระยายังอยู่ภายใต้การควบคุม แต่จำเป็นต้องเร่งระบายน้ำออกจากเขื่อนหลัก เพื่อป้องกันผลกระทบต่อพื้นที่ตอนล่าง โดยเขื่อนภูมิพล ระบายน้ำลงมาแล้วประมาณ 48 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน และเขื่อนกิ่วลมระบายเพิ่มอีก 6 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน รวมแล้วมีปริมาณน้ำไหลเข้าสู่ลำน้ำเจ้าพระยาราว 54 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน โดยมีอัตราไหลที่หน้าเขื่อนเจ้าพระยา 3,537 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

“ปริมาณน้ำในลุ่มเจ้าพระยาตอนนี้ถือว่าสูง เราจึงจำเป็นต้องระบายน้ำออกทั้งฝั่งซ้ายและขวา เพื่อไม่ให้เกิดการล้นตลิ่ง โดยกรมชลประทานระบายน้ำทั้ง 2 ด้านรวมกัน 637 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อให้สมดุลกับน้ำที่ไหลลงมา และควบคุมระดับน้ำในเขื่อนเจ้าพระยาให้อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย”

ร.อ.ธรรมนัส ยืนยันว่าแม้จะต้องระบายน้ำต่อเนื่อง แต่สถานการณ์ในจังหวัดปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ จะไม่เลวร้ายไปกว่าปีที่ผ่านมา พร้อมชี้ว่าจากการพยากรณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา ขณะนี้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้เริ่มอ่อนกำลังลง ปริมาณฝนทางภาคเหนือและภาคกลางลดลง แต่จะเคลื่อนตัวไปเพิ่มในพื้นที่ 14 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้สั่งการให้ทุกสำนักชลประทานในพื้นที่เตรียมแผนรับมือสถานการณ์ฝนตกหนักและน้ำท่วมฉับพลันไว้แล้ว

...

“เมื่อ 3 วันที่ผ่านมา ผมเพิ่งลงพื้นที่นราธิวาส ยะลา ปัตตานี พัทลุง สตูล และตรัง พบว่าฝนตกหนักต่อเนื่อง โดยเฉพาะนราธิวาส ปริมาณฝนเกินค่ามาตรฐานเฉลี่ย จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยในภาคใต้เตรียมแผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินได้ทันที โดยต้องพร้อมเคลื่อนเครื่องสูบน้ำและเครื่องผลักดันน้ำออกสู่อ่าวไทยให้มากที่สุด เพื่อบรรเทาผลกระทบของพี่น้องประชาชน”

ในส่วนของลุ่มน้ำเจ้าพระยา จากการคาดการณ์ของกรมชลประทาน ประมาณสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนธันวาคม 2568 ที่สถานี C2 ค่ายจิรประวัติ จ.นครสวรรค์ ปริมาณน้ำจะเหลือ 1,000 ลบ.ม./วินาที ซึ่งจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์น้ำล้นตลิ่งในจังหวัดตอนล่าง ทั้งนี้ ร.อ.ธรรมนัส ยังเปิดเผยด้วยว่า ช่วงเช้าวันนี้จะมีการประชุมร่วมกับผู้แทนจากกรุงเทพฯ ประสานการระบายน้ำบางส่วนเข้าสู่ระบบคลองของกรุงเทพฯ ซึ่งขณะนี้มีระดับน้ำต่ำกว่าปกติ เพื่อให้สามารถผลักดันน้ำเสียออกจากคลองและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำโดยรวม พร้อมยืนยันว่าจะไม่กระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ แน่นอน

“เมื่ออาทิตย์ก่อนผมลงพื้นที่คูคต จังหวัดปทุมธานี พบว่าระดับน้ำในคลองอยู่ที่ประมาณ 1.5 เมตร ส่วนฝั่งคลองในพื้นที่กรุงเทพฯ อยู่ที่เพียง 0.22 เมตร เราจึงสามารถระบายน้ำเข้าพื้นที่บางส่วนได้โดยไม่กระทบประชาชน และยังช่วยให้การระบายน้ำเสียของกรุงเทพฯ มีประสิทธิภาพขึ้น”

ส่วนปัจจัยที่ทำให้เกิดความแปรปรวนในระบบน้ำปีนี้ มาจากสภาพภูมิอากาศที่ไม่ปกติทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ต่างเผชิญฝนหนักและน้ำท่วมขัง บ้านเราก็ได้รับอิทธิพลบางส่วน แต่ถือว่าเรายังสามารถบริหารจัดการได้ในเกณฑ์ดี เพราะมีแผนรองรับและระบบแจ้งเตือนล่วงหน้า พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ เร่งเตรียมความพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ พร้อมบูรณาการกับกรมอุตุนิยมวิทยา และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อป้องกันความเสียหายจากภัยธรรมชาติให้ได้มากที่สุด เราต้องทำงานเชิงรุก ไม่รอให้เกิดเหตุแล้วค่อยแก้ เพราะสภาพอากาศปีนี้ไม่แน่นอน ตนมั่นใจว่าด้วยการทำงานร่วมกันของทุกหน่วยงาน เราจะสามารถควบคุมสถานการณ์น้ำได้ และไม่ให้เกิดผลกระทบรุนแรงกับพี่น้องประชาชนทั้งภาคกลางและภาคใต้

ต่อมา ร.อ.ธรรมนัส เดินทางเข้ามาร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยก่อนที่จะเดินขึ้นไปประชุมก็ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อถึงสถานการณ์น้ำท่วมในปัจจุบัน ว่า ก่อนมาร่วมประชุม ครม. ไปประชุมที่กรมชลประทานมาก่อน โดยสถานการณ์เวลานี้ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้พยากรณ์ว่าร่องมรสุมฝนได้ลดน้อยลงแล้ว คาดว่าในช่วงประมาณวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้ สถานการณ์น้ำในจังหวัดต่างๆ จะเข้าสู่สภาวะปกติ

ขณะที่สถานการณ์น้ำในภาคเหนือ โดยเฉพาะที่เขื่อนภูมิพล ตอนนี้มีการควบคุมการปล่อยน้ำออกเหลือเพียงวันละ 45-48 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ส่วนที่เขื่อนกิ่วลมมีการปล่อยน้ำเฉลี่ยวันละ 6 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ส่วนในภาพรวมในแต่ละวันจะมีการปล่อยน้ำออกวันละ 2,900 คิวต่อวินาที สำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบทั้งที่อยู่หน้าเขื่อน และท้ายเขื่อน อย่างประชาชนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง และจังหวัดใกล้เคียง คาดการณ์ว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติในช่วงต้นเดือนมกราคมปีหน้า (2569)

อย่างไรก็ตามประชาชนที่อยู่ใกล้กับแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ได้รับผลกระทบ หลังจากนี้จะมีการหารือเรื่องของมาตรการแก้ไขเยียวยาอย่างแน่นอน ยืนยันรัฐบาลไม่ได้อยู่นิ่ง มีแผนมาตรการแก้ไขฟื้นฟูเป็นกรณีพิเศษอยู่แล้ว ส่วนระดับน้ำในพื้นที่ของกรุงเทพฯและปริมณฑล ทั้งปทุมธานี นนทบุรี และสมุทรปราการ ยืนยันว่ายังสามารถควบคุมการระบายน้ำได้ และถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดีที่น้ำทะเลไม่หนุน จึงทำให้ระดับน้ำยังไม่กระทบกับประชาชนอย่างร้ายแรง โดยขอยืนยันว่าสถานการณ์จะไม่ซ้ำรอยปี 2554 อย่างแน่นอน