รองหัวหน้าพรรคประชาชน เสนอประเทศไทยต้องปรับยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ ลดพึ่งพาการส่งออก เพิ่มความสำคัญของเศรษฐกิจภายใน เชื่อมโลกเพื่อร่วมขบวนเศรษฐกิจใหม่
วันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน นำเสนอในเวที The Standard Economic Forum 2025 ให้ประเทศไทยปรับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกและเพิ่มความสำคัญของเศรษฐกิจภายใน สร้างประเทศไทยให้เป็น “เสือตัวที่ห้าที่วิ่งด้วยขาของตัวเอง” โดยระบุว่า ประเทศไทยมีการส่งออกต่อจีดีพีสูงกว่าจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สะท้อนความอ่อนแอของเศรษฐกิจภายใน โดยนายวีระยุทธ เริ่มต้นด้วยการเล่าว่าประเทศไทยใช้ยุทธศาสตร์การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก หรือ Export-led growth model เหมือนกับ “เสือเศรษฐกิจแห่งเอเชียตะวันออก” อย่างเกาหลีใต้, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น และจีน แต่ผ่านไปหลายทศวรรษ กลับพบว่าเราพึ่งพาการส่งออกถึง 70% ของจีดีพี สูงกว่าเอเชียตะวันออกที่มีสัดส่วนการส่งออกเพียง 20-40% ของจีดีพีเท่านั้น
นายวีระยุทธ กล่าวว่า ที่เป็นเช่นนี้ไม่ได้แปลว่าเราส่งออกเก่งกว่าจีนหรือญี่ปุ่น แต่เป็นเพราะเศรษฐกิจภายในของเราอ่อนแอเกินไป ทำให้การส่งออกทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ จนอนาคตของเศรษฐกิจไทยไปแขวนไว้กับความเปราะบางของสงครามการค้า ตลอดจนความผันผวนของราคาสินค้าในตลาดโลก
...
สร้างสังคมสูงวัยที่มีความสุข
ทั้งนี้ เห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่ไทยต้องปรับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจอย่างจริงจัง เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายใน ซึ่งทำได้ผ่านแนวทางสำคัญ 3 ข้อ ได้แก่ (1) สนับสนุนให้เกิดการลงทุนภาคเอกชนที่เชื่อมโยงข้ามอุตสาหกรรม (2) การลงทุนภาครัฐจะต้องตรงจุดและส่งผลต่อเนื่องให้เอกชนพร้อมลงทุนต่อ และ (3) สนับสนุนการบริโภคในประเทศที่ช่วยยกระดับมาตรฐานการผลิต ใช้กลไกรัฐและกลไกตลาดสร้าง Hi-tech ecosystem และสังคมสูงวัยที่มีความสุข
นายวีระยุทธ ยกตัวอย่างแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรม 2 ด้าน ด้านแรก คือ การสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมไฮเทคให้เกิดขึ้นในประเทศไทย เชื่อมโยงการผลิตจากความสามารถเดิมที่ไทยมีอยู่แล้วอย่างชิ้นส่วนยานยนต์ ไปสู่การผลิตเครื่องมือแพทย์และผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพที่ตอบโจทย์สังคมสูงวัย ในขณะเดียวกันก็ออกมาตรการผลักดันให้ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพิ่มสัดส่วนชิ้นส่วนสำคัญอย่างเซมิคอนดักเตอร์หรือเซ็นเซอร์ที่ผลิตในประเทศไทย
ยกระดับ SME ตอบโจทย์สังคมสูงวัย
ทั้งนี้ การสนับสนุนด้านภาษีและการผลิตไม่จำเป็นต้องให้กับบริษัทต่างชาติหรืออุตสาหกรรมใหญ่ๆ เท่านั้น ดังนั้น แนวทางอีกด้านที่ควรทำไปพร้อมกันคือ ผลักดันให้ SME ไทยสามารถยกระดับเพื่อตอบโจทย์ “สังคมสูงวัย” ที่ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งผลิตภัณฑ์ดูแลความงาม อุปกรณ์ไฟฟ้าเพื่อสุขภาพ รวมถึงเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ในบ้านที่ต้องยกระดับความปลอดภัยและติดตั้งระบบสัญญาณเตือนภัย
ร่วมขบวนเศรษฐกิจใหม่
นอกจากนี้ การเพิ่มความเชื่อมโยงระหว่างภาคการผลิตในไทยไม่ได้แปลว่าเราต้องตัดขาดจากโลก ตรงกันข้าม นายวีระยุทธเสนอให้ไทยเดินหน้าจับมือกับ “เสือเอเชียตะวันออก” เพื่อร่วมลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ โดยเข้าใจความต้องการของแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน
เช่น ญี่ปุ่นขาดพื้นที่การทดลองภายในประเทศ เราจึงควรร่วมมือกับรัฐบาลและบริษัทญี่ปุ่นสร้าง joint sandbox ในเทคโนโลยีใหม่อย่างพลังงานไฮโดรเจนหรือรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ
ในขณะที่เกาหลีใต้ขาดพื้นที่สำหรับกระจายความเสี่ยงการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไทยควรหาจุดที่ไปเชื่อมต่อในซัพพลายเชนร่วมกับเวียดนามและมาเลเซีย
เปลี่ยนแปลงความเชื่อเดิม
นายวีระยุทธ กล่าวว่า การปรับยุทธศาสตร์ทั้งหมดนี้ ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงความเชื่อเดิมด้วย เช่น (ก) เปลี่ยนจากการดีใจกับตัวเลขส่งออก มาสู่ความสนใจจุดแข็ง-จุดอ่อนของเศรษฐกิจภายใน (ข) เปลี่ยนจากการมุ่งแต่ดึงเงินใหม่ก้อนใหญ่จากต่างประเทศ มาสู่การสร้างเศรษฐกิจไทยที่คนในอยากลงทุน และ (ค) เปลี่ยนจากกรอบคิด Made in Thailand ที่อยากดึงซัพพลายเชนการผลิตให้มาตั้งที่ไทยทั้งห่วงโซ่ มาเป็น Made with Thailand ที่เน้นการหาจุดโฟกัสที่เราเก่งในแต่ละห่วงโซ่การผลิต เพื่อทำให้เป็นจุดที่โลกขาดไทยไม่ได้