Newsroom Special Series Ep.3 สแกมเมอร์เอ็ฟเฟ็กต์ ทุนเทาแทรกซึมการเมืองไทย “น.ต.ศิธา” เปรียบเหมือนมะเร็งระยะสุดท้าย “วิโรจน์” เชื่อกระสุนบ้านใหญ่ยังสะเทือน

วันที่ 7 พ.ย. 68 ในรายการ Newsroom Special Series Ep.3 ทางไทยรัฐทีวีช่อง 32 มีการนำเสนอเรื่องราวของ "ทุนเทา" ในตอน "สแกมเมอร์เอ็ฟเฟ็กต์ ปอกเปลือกการเมืองเทา นายกฯ เอาไง?" พบกับ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร กรรมาธิการ การทหาร และ น.ต.ศิธา ทิวารี อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มาพูดคุยถึงสแกมเมอร์เอ็ฟเฟ็กต์ ที่ทยอยปอกเปลือกการเมืองสีเทาของไทย รัฐบาลอนุทินจะรอดด่านนี้ไปได้อย่างไร หรือสุดท้ายต้องจบที่การยุบสภาล้างกระดาน นำไปสู่การเลือกตั้งฟ้าผ่าต้องมาฟัง

...


เมื่อถามว่าถ้าปล่อยให้ทุนเทาอยู่ในสังคม แทรกซึมเข้าไปในการเมืองไทย จะส่งผลอย่างไรบ้าง นายวิโรจน์ เผยว่า ทุนเทา เป็นเงินที่ได้มาจากการหลอกคนทั้งโลก ในเฉพาะประเทศไทย ปีหนึ่งเสียหายกว่าแสนล้าน เฉลี่ยต่อวัน 316 ล้าน แต่เงินสกปรกถ้าไม่ได้ถูกการฟอกให้สะอาด กลายเป็นเงินที่มีที่มาที่ไป แม้จะยอมขาดทุน จะนำมาใช้จ่ายไม่ได้ เบื้องต้นพบว่ามีการนำไปซื้อธุรกิจ เพื่อใช้ฟอกเงิน ซึ่งอาจมีการตัดราคา ทำโปรโมชั่น เพื่อให้เกิดกระแส สร้างเงินสดได้เร็ว หรือเป็นเครดิตระยะสั้น เป็นเหตุให้ธุรกิจที่ถูกกฎหมายอยู่ไม่ได้ ธุรกิจเจ๊ง แต่ด้วยเม็ดเงินที่มหาศาล จึงนำเงินเทาแปรสภาพเข้าไปในกลไกของตลาดหลักทรัพย์ ไปซื้อหุ้น ตราสารหนี้ หรือประกันภัย ซึ่งก็หนีไม่พ้นหุ้นกลุ่มพลังงาน หุ้นสาธารณูปโภค หรือที่เกี่ยวกับไฟฟ้า ซึ่งต้องยอมรับว่านโยบายทางการเมือง มีผลต่อราคาหุ้น และผลประกอบการ ดังนั้นใครเป็นคนกำหนดนโยบาย ขับเคลื่อนนโยบาย ก็คือ นักการเมือง

และเมื่อมีการซื้อหุ้นแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือการปั่น คือการสร้างสตอรี่จากนโยบายของภาครัฐที่เอื้อให้ไปถึงธุรกิจที่ถือครองเงินเหล่านี้ ด้วยการนำเงินไปให้กลุ่มการเมืองซื้อเสียง เพื่อให้นำวัยรุ่นสร้างตัว หรือคนของเรา ไปเป็น สส. ให้ได้ แล้วส่งนักการเมืองสีเทาไปเป็นรัฐมนตรี จากนั้น เจียดเงินส่วนหนึ่งมาซื้อตำแหน่งให้ข้าราชการที่เป็นคนของเรา คอยเป็นมือเป็นไม้ นี่คือการยึดประเทศแล้ว ยิ่งถ้าข้าราชการฝ่ายปกครองเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ยิ่งสบาย

เมื่อถามว่า การเข้ามาของทุนเทาในสมัยนี้ กับสมัยก่อนต่างกันหรือไม่ น.ต.ศิธา ทิวารี เผยว่า ก่อนหน้าเราเคยได้ยินเรื่องทุจริตธรรมดา รับเงินใต้โต๊ะ ต่อมามีคำว่า ทุจริตเชิงนโยบาย คือ ออกนโยบายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจได้ประโยชน์จากตรงนั้น หรือนโยบายการผูกขาด และคนเหล่านั้นก็จะส่งกลับมาให้นักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพวกพ้อง หรือกลุ่มที่สนับสนุนกันมา แต่ ณ วันนี้มันถึงสเตจท้ายๆ แล้ว ถ้าเปรียบก็เหมือนมะเร็งระยะ 4 ก่อนหน้านักการเมืองอาจจะเรียกนายทุนว่านาย เพราะเป็นเจ้าของเงินที่จะนำมาใช้ ซึ่งต้องยอมรับว่า ประเทศเรา ณ เวลานี้ มีกระแสกระสุนบ้านใหญ่ พรรคเดียวที่ใช้กระแสเต็มๆ คือ พรรคประชาชน ที่เหลือก็เป็นกระสุนบ้านใหญ่ทั้งนั้น ทำให้ประชาชนเกิดความนิยมชมชอบ แล้วก็เลือกเข้าไปบริหารประเทศ

ซึ่งสเตจที่ 4 นี้ เงินไม่ได้มาจากนายทุน ไม่ได้มาจากธุรกิจ แต่กลายเป็นเงินที่มาจากธุรกิจสีเทา หรือ สีดำ แล้วเข้ามาชุบตัวในการเมือง โดยเป็นการชุบตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของเงิน และเมื่อทุนเทาเข้ามาในการเมือง มีผลกระทบอย่างไรบ้าง ตนก็จะบอกว่า ถ้ายังปล่อยให้เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา แล้วรุ่นลูก รุ่นหลานเรา จะเป็นอย่างไรต่อไป จะทำอะไรที่ผิดๆ ก็ได้ ถ้าไม่โดนจับก็โดนเข้าการเมือง ทุกวันนี้ความภูมิใจที่ได้เกิดบนแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง กลายเป็น เรากำลังจะมอบแผ่นดินเทาให้ลูกหลาน ซึ่งมันเป็นแบบนี้จริงๆ ทุกพรรคที่เข้าไปก็อยากจะเป็นรัฐบาล เพื่อเข้าสู่อำนาจ และเป็นการเข้าสู่อำนาจแบบที่ไม่ได้เอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง


จากประโยคที่ว่าเราต้องแยกสแกมเมอร์ออกจากเว็บพนันก่อน นายวิโรจน์ เผยว่า เหมือนโจรสองกลุ่ม ที่ตนมองว่ามีความชั่วร้ายเหมือนกัน แต่พฤติการณ์ และการจัดการไม่เหมือนกัน สแกมเมอร์ หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่โทรมาหลอก นับว่ามีความเลวร้ายมาก ไม่ใช่แค่มาตุ๋น แล้วหลอกเงิน แต่มันจะหลอกสร้างความสัมพันธ์จนตายใจ จากนั้นก็จะหลอกให้ลงทุนจนหมดตัว ใครที่ไม่ใช่แค่สูญเงิน แต่ยังสูญเสียความภาคภูมิใจของตัวเองจนหลายคนมีปัญหาเรื่องสุขภาพจิตไปเลย และที่ทั่วโลกให้ความสำคัญกับสแกมเมอร์ เพราะเป็นศูนย์รวมของความชั่วร้าย มีการหลอกคนไปค้ามนุษย์ ไปกักกันอยู่ที่ศูนย์กักกันแรงงานสแกมเมอร์ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 60 แห่งในกัมพูชา มีการทรมาน สมัครใจบ้าง ไม่สมัครใจบ้าง มีเรื่องยาเสพติด การก่อการร้าย การพัวพันสิ่งผิดกฎหมายต่างๆ มีความสูญเสียประมาณปีละกว่าแสนล้านบาท

แต่สำหรับพนันออนไลน์ จากการประเมิน พบว่ามีความเสียหายประมาณ 19,000-20,000 ล้านบาท โดยมีพฤติกรรมที่ต่างกันคือ ความเสียหายของพนันออนไลน์ คือเป็นบ่อนทำลายเยาวชน บ่อนทำลายคนวัยทำงานให้เสพติดการฉ้อโกงทรัพย์ในรูปแบบที่เรียกว่าพนัน แต่ตนไม่เรียกว่าพนัน เพราะพนันมีได้มีเสีย แต่การพนันออนไลน์ โปรแกรม หรือ AI จะบันดาลให้ผู้เล่น ได้กี่ตาก็ได้ จะเสียตาไหนก็ได้ จากนั้น AI จะเรียนรู้พฤติกรรม และเริ่มจัดการให้เล่นจนเสียหมดตัว เพราะฉะนั้นการเล่นพนันออนไลน์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ตนเรียกว่า การฉ้อโกงออนไลน์ มันจึงเลวร้ายต่างกัน แต่ทั้งสองกลุ่มนี้ ก็ต้องปราบให้สิ้น เพราะถ้าปล่อยไว้จะกลายเป็นบ่อนทำลาย เกิดปัญหาอาชญากรรมตามมา


“ตอนนี้บ้านใหญ่ก็เหนื่อย เจอกระสุนทุนเทาวิสัยไกลจากกัมพูชา เพราะเงินเทามหาศาล เอาง่ายๆ ทุนเทาที่เอาเงินไปลงทุนในร้านอาหาร ผับ บาร์ ที่มีการขายยาเสพติด ก็จ่ายเงินให้ตำรวจของตัวเองไปเป็นผู้กำกับ และถ้าอยากได้ผลงาน ก็ชี้เป้าสั่งให้ไปจับผับคู่แข่งที่เป็นคนไทย ซึ่งได้ผลงาน ได้กล่องด้วย และกำจัดคู่แข่งให้ทุนเทาด้วย ธุรกิจที่เป็นเจ้าพ่อคนไทย หรือผู้มีอิทธิพลคนไทย ธุรกิจที่ผิดกฎหมายของคนไทยทุกวันนี้ก็ถูกทำลายไปด้วย กระสุนบ้านใหญ่ตอนนี้จะไม่เหลือแล้ว เจอกระสุนทุนเทาวิสัยไกลเข้าไป จะเห็นว่าทำไมบ้านใหม่ ถึงมีทุนสู้กับบ้านใหญ่ได้จนบ้านใหญ่ฟีบ เพราะบ้านใหม่หลายบ้านก็เป็นเงินมาจากทุนเทา” นายวิโรจน์ กล่าว

นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่าเลือกตั้งครั้งหน้า เงินซื้อเสียงอาจจะเพิ่มขึ้น ซึ่งหลายคนมองว่า ค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 5,000 บาท ดังนั้นการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ไม่ว้าวแล้ว เลือกตั้งบ่อยๆ จะดีกว่า

น.ต.ศิธา เผยต่อว่า กระสุนบ้านใหญ่ กระสุนคือ เงินที่ใช้ซื้อเสียง แต่กระสุนจะใช้ได้ต่อเมื่อมีคนเล็ง ซึ่งก็คือบ้านใหญ่ ที่จะมีช่องทางที่จะปล่อยกระสุนลงไป จัดระบบไว้หมดแล้ว ที่เรียกว่าระบบจัดตั้ง มีหัวคะแนน มีคนนั้นคนนี้เป็นเครือข่าย ถึงเวลาก็กดปุ่มให้กระสุนไหลลงมา ซึ่งมันสัมพันธ์กัน

ขณะที่สแกมเมอร์ทุนเทา ซึ่งจะเป็นเรื่องการพนัน หรือธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ คนที่รับกรรม คือคนที่สมัครใจก้าวขาเข้าไป แต่ปัจจุบันสแกมเมอร์ใช้ AI ในการเลียนเสียงคนในครอบครัว บอกกำลังเจ็บป่วย อยู่โรงพยาบาลนั้น โรงพยาบาลนี้ เป็นใครก็โอน เพราะเชื่อว่าเป็นเสียงคนในครอบครัว และก็สร้างสถานการณ์ให้เหมือนจริงขึ้นเรื่อยๆ ตรงนี้เป็นคนบริสุทธิ์ที่โดนหลอก มันชั่วร้ายกว่าหลายเท่า

นายวิโรจน์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เหยื่อแก๊งสแกมเมอร์ ถ้าเป็นกลุ่มเด็ก วัยทำงาน ความเสียหายจะอยู่ที่ 70,000-80,000 บาทต่อกรณี แต่สำหรับผู้สูงอายุ จะอยู่ราว 400,000 บาทต่อราย หมายความว่า เป้าหมายหลักการโจมตีของกลุ่มสแกมเมอร์จะพุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้สูงอายุ เพราะมีความอ่อนแอ การรับรู้ด้านเทคโนโลยีมีจำกัด และไปเล่นกับความรู้สึก ถือว่าอำมหิตและเป็นปัญหาสังคมที่ใหญ่มาก

นายวิโรจน์ เผยต่อว่า สำหรับการเซ็น MOU ของภาครัฐ ทั้ง 15 หน่วยงานปกติก็ทำงานร่วมกันอยู่แล้ว แต่วันนี้ตนมีโอกาสไปคุยกับผู้แทนสถานทูต 2-3 แห่ง ทุกแห่งถามตนว่า ใครคือเจ้าภาพของในครั้งนี้ เพราะแต่ละหน่วยงานก็มีสโคปในการทำงาน แต่ถ้าไม่มีเจ้าภาพในการทำงาน มันจะเกิดปัญหาต่างคนต่างทำงาน ต่างคนต่างสร้างเงื่อนไข โยนกันไปมา เพราะไม่มีเจ้าภาพในการคลี่คลายเงื่อนไข หรือข้อจำกัดในการทำงาน สุดท้ายถึงมี MOU ก็ไม่มีประโยชน์