นายกฯ อนุทิน ประกาศสงครามกับสแกมเมอร์ ย้ำต้องชนะเท่านั้น ด้าน “ไชยชนก” เผย กระทรวงดีอี เคาะ 7 มาตรการปราบโจรออนไลน์-สแกมเมอร์ ถก ปปง. หาช่องกฎหมายประจานรายชื่อแก๊งบัญชีม้า


วันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 เวลา 11.00 น. ที่ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กับ 14 หน่วยงานรัฐ-เอกชน


นายกรัฐมนตรีได้รับฟังการแถลงมาตรการ และผลงานของ 8 หน่วยงาน จากนั้นได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม MOU พร้อมกับ “ประกาศสงครามกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (Scammer)” ว่า วันนี้ คือ ก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่งของประเทศไทย เป็นวันที่มีการรวมตัวกัน “ประกาศสงครามกับอาชญากรรมออนไลน์” สงครามนี้เป็นสงครามที่เราต้องชนะ เพื่อปกป้องประชาชนจากภัย Scammer ที่กำลังบ่อนทำลายประเทศอยู่ทุกวัน เพราะเมื่อหนึ่งคนเป็นเหยื่อ ครอบครัวทั้งครอบครัวได้รับผลกระทบด้วย คนจำนวนมากต้องประสบกับความทุกข์ และความเครียด ศักยภาพของประเทศถูกบ่อนทำลายจากการกระทำของมิจฉาชีพ ชื่อเสียงประเทศต้องเสื่อมเสีย ภาพลักษณ์ถูกบั่นทอน ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการค้าและการลงทุน ความเสียหายที่ซ่อนอยู่จากภัยของอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเหล่านี้ มีมากจนประเมินค่ามิได้ คือภัยแห่งความมั่นคงอันดับต้นๆ ของประเทศ


“ในนามของรัฐบาล ขอขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่รวมพลังกันมาลงนาม ในบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ สิ่งที่ลงนามในวันนี้ไม่ใช่เป็นเพียง “เอกสาร” แต่คือ “อาวุธ” ที่จะใช้ในการต่อสู้กับอาชญากรอย่างเป็นระบบ เพราะนี่คือ “วาระแห่งชาติ” ไม่ใช่ภารกิจของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นภารกิจร่วมกันของทั้งประเทศ”

...


นายกรัฐมนตรีย้ำว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนทุกด้าน ทั้งงบประมาณ เทคโนโลยี และนโยบาย เพื่อให้การทำงานครั้งนี้ เห็นผลจริงในระยะสั้น และยั่งยืนในระยะยาวเพื่อประเทศไทยจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยจาก scammer และเป็นดินแดนต้องห้ามของอาชญากรรม ทุกรูปแบบตลอดไป


โดย MOU มีจุดประสงค์เพื่อเดินหน้าปฏิบัติการเชิงรุกใน 5 ด้านหลัก คือ

1. บังคับใช้กฎหมายอย่างเฉียบขาด ไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำความผิด หรือผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง

2. สร้างระบบประสานงานแบบบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวกรอง และการสืบสวน

3. ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องทันที ตัดเส้นทางการเงินของอาชญากร ไม่ให้ใช้ประเทศไทยเป็นฐานฟอกเงินอีกต่อไป

4. ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและ AI ในการตรวจจับเส้นทางเงินและพฤติกรรมของมิจฉาชีพ เพื่อสกัดก่อนเกิดเหตุ

5. ที่สำคัญ คือ การสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชน ส่งเสริมความรู้เท่าทัน และการแจ้งเบาะแส เพื่อให้คนไทยทั้งประเทศ ช่วยกันเป็นหูเป็นตา และเป็นส่วนหนึ่งของทีมไทยแลนด์ในสงครามครั้งนี้

“ไชยชนก” เผย กระทรวงดีอี เคาะ 7 มาตรการปราบโจรออนไลน์-สแกมเมอร์

ด้านนายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยหลังเข้าร่วมพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ของหน่วยงานภาครัฐ-เอกชน 14 หน่วยงาน ว่า ตามที่รัฐบาลได้ประกาศให้การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็น วาระแห่งชาติ ตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา กระทรวงดีอีดำเนินการยกระดับการป้องกัน ปราบปรามสแกมเมอร์ คอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมทางการเงินออนไลน์ ได้แก่

1.การจัดตั้งวอร์รูม (War room) ทำงานร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติบูรณาการข้อมูลร่วมกัน โดยให้เพิ่มเติมตัวแทนค่ายมือถือและ 7 ธนาคารใหญ่ ให้ข้อมูลตลอด 24 ชม.ร่วมกับตำรวจอย่างใกล้ชิด เพื่อยับยั้งการกระทำของขบวนการสแกมเมอร์ก่อนที่จะสร้างความเสียหายให้ประชาชน

2. มาตรการยกระดับหลักเกณฑ์ของการลงทะเบียนซิมมือถือ จำกัดปริมาณซิมการ์ดไม่เกิน 5 หมายเลขต่อบุคคล (รวมทุกค่าย) แต่หากมีความจำเป็นต้องใช้เกิน ต้องขออนุญาตเป็นรายกรณี พร้อมแจ้งข้อมูลให้ตำรวจทราบ รวมทั้งยกระดับหลักเกณฑ์ยืนยันตัวตนเพื่อลงทะเบียนซิม โดยให้ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศต้องมีการลงทะเบียนในระบบ Dip chip หรือการลงทะเบียนผ่านแพลตฟอร์มที่มีมาตรฐานความปลอดภัยเทียบเท่า หรือผ่านระบบ ThaiD เท่านั้น ตลอดจนปิดกั้นสัญญาณโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตแนวชายแดน เพื่อไม่ให้สัญญาณเล็ดรอดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

3. มาตรการคุมเข้มซิมบ็อกซ์ (SIM Box) คุมเข้มการนำเข้าส่งออก และประกาศหลักเกณฑ์ให้มีการลงทะเบียนชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อประโยชน์ต่อการติดตามการใช้งานตั้งแต่ต้นทาง-ปลายทาง

4. มาตรการกวาดล้างบัญชีม้า ซึ่งหากพิสูจน์ทราบแล้วว่าเป็นบัญชีม้า แถว 1 และ 2 เจ้าของบัญชีมีสิทธิ์เปิดบัญชีธนาคารได้เพียง 1 บัญชี (บัญชีครองชีพ) ไม่สามารถเปิดบัญชีอื่นใดได้อีกเป็นระยะเวลา 3 ปี และหากมีกระทำผิดซ้ำ จะพิจารณาให้ไม่สามารถมีบัญชีเพิ่มเติมได้อีกตลอดชีวิต รวมทั้งกำลังหารือกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พิจารณาเปิดเผยรายชื่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบัญชีม้าต่อสาธารณชน ภายใต้อำนาจของกฎหมายเพื่อให้ประชาชนรับทราบว่าบุคคลใดมีความเกี่ยวข้อง จะได้เพิ่มความระมัดระวังตัว

5.มาตรการการยืนยันตัวตนเพื่อทำธุรกรรมซื้อ-ขาย บนแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) อยู่ระหว่างร่างกฎหมายกำหนดให้มีการยืนยันตัวตน หากมีการทำธุรกรรมซื้อ-ขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ หรือหากมีการรายงานปัญหา (Report) เจ้าของบัญชีต้องยืนยันตัวตนเช่นเดียวกัน เนื่องจากการถูกหลอกลวงทางออนไลน์กว่า 50% มาจากแพลตฟอร์ม

6. การลงนามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือบูรณาการข้อมูลอาชญากรรมระหว่างประเทศ ผ่านความร่วมมือในทุกระดับ รวมไปถึงเรื่องของการค้ามนุษย์ด้วย

7.การยกระดับ พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 ให้สามารถตอบโต้สแกมเมอร์ได้มากขึ้น โดยมีแนวคิดจัดตั้งหน่วยงานไวท์ แฮกเกอร์ (White Hacker) ทำหน้าที่ตอบโต้ ทั้งในเชิงของการระงับ การหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับขบวนการสแกมเมอร์ เพื่อดำเนินการปราบปราม หรือส่งต่อข้อมูลให้กับนานาประเทศในการดำเนินการจัดการต่อไป

“โดยบทบาทของไวท์ แฮกเกอร์อาจรวบถึงการเข้าแฮกข้อมูลของกลุ่มโจรออนไลน์ หรือรวมถึงการปล่อยไวรัสเข้าโจมตีด้วย เพื่อให้เรามีโอกาสตอบโต้กลุ่มคนเหล่านี้บ้าง” นายไชยชนกกล่าว