“บิ๊กโจ๊ก” โต้เดือด อดีตคณบดีนิติฯ จุฬาฯ ปมโกงข้อสอบ ซัดมีผลประโยชน์ทับซ้อน อีกฝ่ายเอาเกียรติภูมิอาจารย์ เป็นประกัน


วันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 การสืบหาข้อเท็จจริงในคณะกรรมาธิการกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ถูกกลั่นแกล้งจากการตั้งกรรมการสอบสวนคดีโกงข้อสอบ เป็นไปอย่างดุเดือด โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ได้เข้าให้ถ้อยคำพร้อมด้วยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ปารีณา ศรีวนิชย์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

โดยพล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวหาว่า อดีตคณบดีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและมีผลประโยชน์ทับซ้อน เนื่องจากมีสามีเป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ซึ่งได้รับการแต่งตั้งในสมัย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. ที่ตนเองมองว่าเป็นคู่กรณี พร้อมยืนยันว่าไม่ทราบว่าซองเอกสารที่ได้รับจากลูกน้องคือข้อสอบ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า สามีของอดีตคณบดีขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ได้เพราะเป็นคนของผบ. ตร.ในขณะนั้น เพราะตามหลักอาวุโส 35% จะต้องเป็นผู้บัญชาการประจำไม่มีทางขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค อย่าบิดเบือนข้อเท็จจริง และข้อสอบที่อยู่ภายในซองนั้นเป็นข้อสอบเก่า ไม่ได้ใช้ข้อสอบในวันต่อไป จึงมองว่าไม่ควรมาในวันนี้ ใครให้มาก็ไม่รู้ ทำไมฟังความข้างเดียวไม่ฟังความจากอีกฝั่งหนึ่งบ้าง

ด้านอดีตคณบดีโต้กลับทันทีว่า ไ่มทีใครสั่งมา แต่ตนต้องการมาชี้แจงเรื่องนี้ในฐานะที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว และการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเป็นไปตามกระบวนการที่ถูกต้อง และได้อำนวยความสะดวกให้กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์หลายครั้งจนถูกอาจารย์และนิสิตครหานินทา ยืนยันว่าสามีได้ตำแหน่งมาโดยถูกต้องตามระเบียบ และตนเองขอเอาเกียรติภูมิของความเป็นอาจารย์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาเป็นประกันว่าไม่ได้จงใจกลั่นแกล้ง

...

ขณะที่ พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.ตอ.1 ได้เข้าชี้แจงว่า ตำรวจไซเบอร์มีอำนาจในการสืบสวนคดีนี้ เนื่องจากเป็นการขยายผลจากพยานหลักฐานในคดีเว็บพนันออนไลน์ของ "มินนี่" ที่พบข้อมูลการนำข้อสอบออกจากห้องสอบ โดยยืนยันว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ไม่ได้เป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว และคดีโกงข้อสอบขณะนี้อัยการได้ส่งสำนวนกลับมาให้ตำรวจตรวจสอบเพิ่มเติมใน 5 ประเด็น.