“ บิ๊กโจ๊ก” หอบข้อมูลหลักฐานตำรวจรับส่วยเว็บพนัน ให้ กมธ.มั่นคงฯ เผยเคยยื่นเรื่องให้ ผบ.ตร. ตั้งแต่ 20 ส.ค.67 แต่ไม่คืบ ยืนยันไม่เหมารวมองค์กรตำรวจไม่ดี


เมื่อเวลา 13.20 น. วันที่ 6 พ.ย. 2568 ที่รัฐสภา พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์หลังเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนพร้อมรายชื่อผู้เกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ต่อนายรังสิมันต์ โรม สส. บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร พร้อมให้ข้อมูลต่อกมธ.นานกว่า 3 ชั่วโมง ว่า นอกจากการให้ข้อมูลต่อ กมธ.แล้ว ตนยังได้ยื่นเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องเส้นเงิน การรับผลประโยชน์จากเว็บพนันของตำรวจ ราว 30 กว่าคน เพิ่มเติม จากที่ก่อนหน้านี้คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่พิทักษ์และคุ้มครองระบบคุณธรรมของข้าราชการตำรวจ (กพค.ตร.) เคยชี้มูลไปแล้ว ต่อพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อดีต ผบ.ตร. รวมถึงนักการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่ภาคใต้

ยื่นเรื่องให้“ผบ.ตร.”แล้ว แต่ไม่คืบ

พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า เอกสารชิ้นนี้ เมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา ตนถูก พล.ต.อ.วินัย ทองสอง นายกสมาคมตำรวจ ตำหนิว่า เหตุใดมีข้อมูลแล้วจึงไม่นำมาให้ ดังนั้นตนขอฝากถึงพล.ต.อ.วินัย ว่าข้อมูลเรื่องนี้ตนเคยมีหนังสือไปถึง พล.ต.อ.กิตติรัตน์ พันธ์เพชร ผบ.ตร. ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2567 แล้ว ซึ่งปัจจุบันผ่านมาเป็นปี แต่ ผบ.ตร.ยังนิ่งเฉย แม้จะอ้างว่ามีการตั้งคณะกรรมการแล้วก็ตาม นอกจากนี้ ตนยังได้นำเอกสารเส้นเงินของเว็บพนัน ที่จ่ายไปยังชุด PTC ซึ่งเป็นชุดทำงานที่ถูกแต่งตั้งมาเพื่อปราบปรามเว็บพนัน ซึ่ง พล.ต.ท. ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองจเรตำรวจ และอดีตผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ อยู่ในชุดทำงานนี้ด้วย ซึ่งจะไปเกี่ยวพันกับ “สส. ช .”เพราะเป็นเส้นเงินที่เชื่อมโยงกัน พร้อมทั้งยืนยันว่า เรื่องเส้นเงินที่ตนยื่นไป ตนให้ความยุติธรรม เพราะไม่เชื่อว่าบุคคลเหล่านั้นจะรับเงิน แต่ในเมื่อวันนี้ตนไม่ใช่ตำรวจ ตนเป็นประชาชนที่จ่ายภาษี จึงมีสิทธิ์ยื่นต่อ กมธ. ให้ตรวจสอบ หากผลเป็นจริงตามที่ตนร้อง นั่นหมายความว่า ท่านมีหน้าที่ปราบปราม แต่กลับรับเงินเสียเองหรือไม่

...

อิงข้อมูลเส้นเงินเข้าเครือญาติ“บิ๊ก ต.เต่า”

 “ ส่วนกรณีข้อสอบจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ผมยื่นร้องต่อกมธ.ว่า พล.ต.อ.กิตติรัตน์ ใช้อำนาจโดยมิชอบในการแต่งตั้งคณะกรรมการ ดำเนินการวินัยกับผมอย่างไม่เป็นธรรม ยืนยันว่า ผมไม่ได้โกงข้อสอบและไม่ได้มีพยานหลักฐานใด ๆ มาถึงผมด้วย ถึงแม้ผู้ดูแลข้อสอบของจุฬาฯ จะมีการนำเอกสารมาให้กับตำรวจชั้นประทวนนายหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกน้องของผม แต่ข้อสอบดังกล่าวผมไม่เคยได้รับ และไม่เคยถูกเปิดด้วยซ้ำ อีกทั้งการตั้งคณะกรรมการวินัยนั้น จะต้องดำเนินการก็ต่อเมื่อกระทำความผิดหรือถูกกล่าวหาในคดีอาญา แต่กรณีนี้ผมยังไม่ได้ตกเป็นผู้ต้องหา และไม่ได้ถูกดำเนินคดีในคดีอาญา แต่กลับถูกตั้งคณะกรรมการวินัย จึงมองว่าไม่เป็นธรรมกับผม และเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว

ยันไม่ได้เหมาองค์กรตำรวจ

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี ผบ.ตร. ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาล ตำหนิ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่ระบุว่า ตำรวจเป็นองค์กรอาชญากรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ว่า กล่าวหารุนแรงเกินไป พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตอนนี้สังคมมองว่าตำรวจไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ และเว็บพนันออนไลน์ ซึ่งการที่ตนพูดถึงว่าตำรวจเป็นองค์กรอาชญากรรม ไม่ได้เหมารวมถึงตำรวจทั้งแผ่นดิน แต่พูดถึงตำรวจบางกลุ่ม โดยเฉพาะตำรวจไซเบอร์ ที่มีหน้าที่ปราบปรามเว็บพนันออนไลน์ แต่สุดท้าย ตำรวจบางรายรับเงิน มีผลประโยชน์จากเว็บพนันเหล่านี้ ซึ่งตำรวจเพียงหยิบมือเดียวทำให้ตำรวจกว่า 2 แสนคนต้องเสียหาย สิ่งที่ ผบ.ตร. ควรทำคือ รีบแก้ไขและจัดการปัญหานี้ ไม่ใช่มาโต้แย้งกับตน พออธิบายกับสังคม หรือตอบคำถามกันไม่ได้ ก็พยายามจะเอาตำรวจทั้งประเทศมาพูดให้เกลียดชังตน กรณีบิ๊กตำรวจ ต.เต่า พบมีเส้นเงินโอนเข้าคนใกล้ชิดร้อยกว่าครั้ง กลับไม่ถูกดำเนินการใด ๆ ตนจึงมองว่า ผบ.ตร.เลือกปฏิบัติ

ลั่น ถ้ารัก สตช. ต้องปราบคนที่ทำให้เสื่อมเสีย

เมื่อถามถึงกรณี พล.ต.อ.กิตติรัตน์ ระบุถึงวลี “คนบ้านปทุมวัน ไม่ควรทำร้ายบ้านตัวเอง” คิดว่าหมายถึงใคร พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ยอมรับว่าหมายถึงตนแน่นอน เพราะตนเป็นคนบ้านปทุมวัน ส่วนท่านจะเกลียดตน ก็ไม่เป็นไร หากรักองค์กรจริง ท่านจะต้องปกป้อง รักษาองค์กรตำรวจ โดยการช่วยกันปราบปรามผู้ที่ทำให้องค์กรเสื่อมเสีย