“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เปิดแคมเปญ “สส.ที่ดี คุณเองก็เป็นได้นะ” ชวนคนรุ่นใหม่ร่วมสร้างพรรค-พรรคสร้างชาติ ระบุชวนมาเหนื่อย ถ้ากระแสตอบรับดี ส่งครบทุกเขต ไม่กังวลเลือดเก่าไหลออก ยอมรับเริ่มต้นจากศูนย์
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 5 พ.ย. 2568 ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) นำคณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคบางส่วนเปิดแคมเปญ Kick-off รับผู้ประสงค์จะยื่นแสดงความจำนงลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.ในนามพรรคประชาธิปัตย์ โดยใช้สโลแกนว่า “สส.ที่ดี คุณเองก็เป็นได้นะ” ว่า เป็นการแถลงผลสรุปการหารือ กก.บห.พรรค แม้ขณะนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่รับรองกก.บห.พรรคชุดใหม่ แต่ด้วยสภาวะการเมืองไม่สามารถรอได้ จึงเริ่มต้นเปิดแคมเปญนี้เพื่อเชิญชวนผู้ที่สนใจและปรารถนาดีต่อบ้านเมือง ให้มาร่วมกับพรรค โดยการสมัครเป็นสส. เพราะมองว่าขณะนี้บ้านเมืองมีปัญหาที่สะสมเรื้อรังยืดเยื้อมาอย่างยาวนาน ส่วนหนึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นเพราะการเมืองไม่สุจริต ที่สร้างปัญหาที่วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ทุกวันทั้งเงินทุนสีเทา การทุจริตคอร์รัปชัน การทำผิดกฎหมาย จนถึงขั้นอาจทำอาชญากรรมข้ามชาติ การเมืองทุจริตเป็นที่มาของระบบเศรษฐกิจที่ไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นหากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ ส่วนตัวมองว่า ต่อไปก็มองไม่เห็นว่า บ้านเมืองจะเดินไปข้างหน้าได้อย่างไร
“อีกทั้งข่าวการเมืองทุกวันนี้ กลับกลายเป็นว่า ใครจะอยู่พรรคไหน นโยบายมีแต่เรื่องตัวเลขสองหลัก จึงไม่เชื่อว่าการเมืองไทยจะเดินต่อไปแบบนี้ได้โดยที่ประชาชนจะเดือดร้อนมากขึ้น ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์ แม้ยังไม่ได้มีการอนุมัติผู้สมัคร สส.แม้แต่เขตเดียว แต่นับถึงวันนี้เราจะบอกว่า ใครที่เชื่อเรื่องสุจริต มีดีในตัว แนวทางที่จะพัฒนาประเทศควรเป็นอย่างไร ขอเชิญชวนท่านให้มาอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะพรรคพร้อม “สร้างคน คนสร้างพรรคและพรรคสร้างประเทศ” นี่คือแนวทางที่พรรคจะเดินหน้า จึงเป็นที่มาของแคมเปญ “สส. ที่ดี คุณเองก็เป็นได้นะ” โดยสามารถสมัครได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ ขอย้ำว่า “อย่ารอคนอื่นมาเป็นตัวแทนของท่าน เพราะ สส.ที่ดี คุณเองก็เป็นได้นะ”
...
เมื่อถามว่า พรรคปชป. จะส่งผู้สมัครครบทุกเขตหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หากได้รับการตอบรับจากทั่วประเทศ ก็ส่งครบทุกเขตแน่นอน ส่วนกรณีที่สื่อเคยวิเคราะห์ว่า พื้นที่แต่ละพื้นที่ เป็นฐานของพรรคการเมืองต่างๆ ส่วนตัวต้องการที่จะตั้งต้นใหม่ว่า ไม่มีใครเป็นเจ้าของพื้นที่ไหน ไม่มีใครเป็นเจ้าของประชาชน จึงขอเชิญชวนให้ประชาชน ส่งคนดีมาเป็นผู้แทนฯที่ดี ซึ่งส่วนตัวในใจต้องการส่งลงครบทุกเขต เพราะมองว่าพรรคประชาธิปัตย์ ควรเป็นพรรคของการเมืองที่เป็นของประชาชนทุกคน เมื่อถามย้ำว่า การเริ่มต้นการเมืองใหม่ในสภาวะที่ใช้เงินซื้อ-ขายกัน จะสามารถไปได้มากน้อยแค่ไหน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับประชาชนเพราะทราบดีว่าการเลือกตั้งหลายครั้งที่ผ่านมา จากการวิเคราะห์ของหลายฝ่ายพบว่า มีการใช้เงินมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ส่วนตัวเชื่อว่า จะมีจุดพลิกผัน ถ้ายังปล่อยการเมืองให้เป็นแบบนี้ เศรษฐกิจ, สังคมจะติดอยู่แบบนี้ตลอดไป และจะเสื่อมโทรมลงด้วยซ้ำ ดังนั้นหากสามารถทำให้ประชาชนมองเห็นอันตรายจากเรื่องเหล่านี้ได้ แม้ไม่มีใครบอกได้ว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ส่วนตัวยืนยันว่า จะเป็นฟันเฟืองตัวหนึ่งที่ไม่ยอมให้การเลือกตั้งเป็นเรื่องของการประมูลซื้อ-ขาย วันนี้บ้านเมืองต้องมองให้เลยคำว่าสโลแกนไปได้แล้ว เพราะต้องเริ่มต้นเอาเรื่องใหญ่ของประเทศมาคุยกัน ทั้งการค้าการลงทุน และรายละเอียดของเศรษฐกิจ,สังคม ภาคส่วนต่างๆ ตนเชื่อว่า หากไม่สร้างเครื่องจักรที่จะนำความเติบโตทางเศรษฐกิจให้ สุดท้ายจะส่งผลให้อีกหลายปัญหาแก้ไขไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นสโลแกน จึงยังไม่ได้ข้อสรุป
เมื่อถามถึงกรณีเลือดเก่าที่ไหลออกจากพรรคนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถือว่าตอนนี้ ตนตั้งต้นจากศูนย์ และส่วนตัวก็ยังไม่ได้อนุมัติผู้สมัครคนใด ดังนั้นคนเก่าจะลาออกไปก็ไม่ว่ากัน เพราะเคารพการตัดสินใจ แต่เชื่อว่า จะมีคนพร้อมที่จะร่วมแนวทางเดียวกันเพียงพอที่จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์เดินต่อไปได้ เมื่อถามถึงกรณีนายเฉลิม ศรีอ่อน อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ลาออกและจะนำ สส. บางส่วนไปด้วย จะส่งผลอะไรกับพรรคหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กว่าจะยุบสภา จำนวน สส. จะเหลือน้อยมาก ตนขอตั้งสมมติฐานใหม่โดยเริ่มต้นใหม่จากปี 2570 เราจะสร้างคน คนสร้างพรรค และพรรคก็จะสร้างบ้านเมืองที่ดีต่อไป ยอมรับว่า สส. ที่จะออกไปได้มาลากับตนแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ โดยให้เหตุผลว่า ด้วยความเคารพจะอยู่เลือกหัวหน้าพรรคให้ก่อน แต่คงไม่ได้อยู่ร่วมทำงานด้วยกัน แต่ขณะนี้ที่ยังไม่ลาออกจากพรรค เพราะจะสูญเสียสถานภาพทางกฎหมาย ในฐานะ สส. “ที่เชิญชวนนี่ ไม่ได้ชวนมาสบาย เพราะวันนี้ถ้าไม่เหนื่อยบ้านเมืองก็ไม่ดีขึ้น ชวนมาเหนื่อยชวนมาทุ่มเทกับเราว่า ถึงเวลาแล้วมาทำการเมืองกัน ไม่เหมือนกับการเมืองที่เราเห็นอยู่ในขณะนี้”