โฆษกกองทัพบก ขอคนไทยมั่นใจเคลื่อนย้ายอาวุธหนักได้ทัน หากเกิดปัญหากัมพูชาไม่ทำตามข้อตกลงถอนอาวุธ 3 ระยะ แง้ม มีอาวุธสนับสนุนระยะไกลรับเหตุฉุกเฉิน และคุ้มครองความปลอดภัยประชาชน


วันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงข้อกังวลของประชาชนบางส่วนต่อกรณีการถอนอาวุธกลับที่ตั้งจ.ลพบุรี อาจจะไกลจากพื้นที่ชายแดนมากเกินไป ว่า กองทัพบกจะสามารถเคลื่อนย้ายอาวุธกลับเข้าพื้นที่ได้ทันหากเกิดปัญหาทางกัมพูชาไม่ทำตามข้อตกลงการถอนอาวุธ

ส่วนกรณีมีกระแสข่าวฝ่ายกัมพูชาขัดขวางไม่ให้คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) เข้าสังเกตการณ์เก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ช่องสายตะกู จ.บุรีรัมย์ จากการตรวจสอบศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ได้เดินหน้าปฏิบัติตามแผน แม้ฝ่ายกัมพูชายังอยู่ระหว่างรอคำสั่งจากหน่วยเหนือ ทั้งนี้เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกได้รับรายงานจาก กองกำลังสุรนารี เกี่ยวกับความคืบหน้าในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของ TMAC ในพื้นที่ช่องสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเริ่มดำเนินการตามแผนตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2568 ปัจจุบัน TMAC ได้เข้าพิสูจน์ทราบพื้นที่แล้ว ร้อยละ 7.62 ของพื้นที่ทั้งหมด 355,026 ตารางเมตร โดยระหว่างการปฏิบัติงานได้พบปัญหาและข้อขัดข้องบางประการ ดังนี้

...

วันที่ 30 ตุลาคม 2568 ขณะฝ่ายไทยดำเนินการพิสูจน์ทราบสนามทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดนฝั่งไทย โดยอ้างอิงเส้นปฏิบัติการตามแผนที่ มาตราส่วน 1 : 50,000 ได้พบทหารกัมพูชาอยู่ในเส้นทางปฏิบัติการ จึงได้เข้าพบปะและเจรจาเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน ผลการเจรจา ฝ่ายกัมพูชาขอให้ฝ่ายไทยดำเนินการพิสูจน์ทราบเฉพาะในพื้นที่ฝั่งไทย โดยอ้างอิงแนวเส้นทางลาดตระเวนเดิม และขอไม่ให้มีการดัดแปลงพื้นที่ เช่น การวางลวดหนาม แต่สามารถทำการถากถางพื้นที่ หรือทำเครื่องหมายได้ ทั้งนี้ ฝ่ายกัมพูชาแจ้งเพิ่มเติมว่า ยังไม่สามารถเริ่มทำการพิสูจน์ทราบทุ่นระเบิดในฝั่งของตนได้เนื่องจากยังไม่มีคำสั่งจากหน่วยเหนือ ภายหลังการเจรจา ฝ่ายไทยดำเนินการพิสูจน์ทราบสนามทุ่นระเบิดต่อไปตามแผนงานในเขตไทย โดยมีทหารกัมพูชาเฝ้าสังเกตการณ์อย่างต่อเนื่องจนเสร็จสิ้นภารกิจในวันนั้น

ต่อมาในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 คณะ AOT ฝ่ายไทย ลงพื้นที่ร่วมสังเกตการณ์การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในบริเวณช่องสายตะกู โดยฝ่ายไทยได้รายงานผลการดำเนินงานและปัญหาข้อขัดข้องดังกล่าวให้คณะ AOT ฝ่ายไทยได้รับทราบ ทั้งนี้ การเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนถือเป็นข้อตกลงร่วมกันของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งได้มีมติและเห็นชอบในที่ประชุมระดับผู้นำอาเซียนที่ผ่านมา ปัจจุบัน ฝ่ายไทยได้ยืนยันความพร้อมและดำเนินการตามแผนที่เสนอต่อฝ่ายกัมพูชา ครอบคลุมทั้ง 13 พื้นที่ ขณะที่ฝ่ายกัมพูชายังไม่มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในประเด็นดังกล่าว

ขณะเดียวกัน โฆษกกองทัพบก ยังระบุย้ำถึงข้อกังวลเรื่องถอนอาวุธหนักจากพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา หากกัมพูชาไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงร่วมกันว่า แผนการถอนอาวุธครั้งนี้ดำเนินการเฉพาะอาวุธหนัก 3 กลุ่ม ที่อาจส่งผลต่อประชาชนที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร แต่มีส่วนอื่นๆ ที่ยังคงอยู่ โดยยังมีอาวุธสนับสนุนระยะไกลเพื่อปกป้องประชาชนกรณีมีเหตุฉุกเฉิน และมีกลไกเสริมหลายวิธีที่สามารถปฏิบัติได้

พร้อมยอมรับว่า ในทางทหารระยะทางอาจมีผลต่อการเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์หนักเข้าพื้นที่เพื่อปฏิบัติภารกิจบ้าง แต่ยังมีองค์ประกอบสนับสนุนอื่นที่สามารถนำมาชดเชยได้ อยู่ที่วิธีบริหารจัดการรองรับต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน และแม้อาวุธบางส่วนถูกปรับออกจากพื้นที่หน้าแนว แต่ยังคงมีกองกำลังป้องกันชายแดนประจำอยู่เพื่อทำหน้าที่เฝ้าระวัง และรักษาปกป้องอธิปไตยตามปกติ ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพบกในการทำหน้าที่ปกป้องรักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติให้ได้อย่างดีที่สุด ถึงแม้บางอย่างอาจไม่สามารถสื่อสารลงรายละเอียดได้มากเพราะด้วยบรรยากาศภายใต้สภาพแวดล้อมในห้วงนี้.