“วราวุธ” ชี้ วิกฤตประชากร จุดเปลี่ยนสำคัญ สถานการณ์สุขภาพโลก เหตุ กลุ่มเปราะบางเข้าไม่ถึงบริการสุขภาพที่จำเป็น มองโอกาสอุตสาหกรรมสุขภาพ บริการดูแลที่บ้าน


วันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวปาฐกถาในที่ประชุมเชิงวิชาการนานาชาติ ด้านระบบสุขภาพ ครั้งที่ 1 TRENDS 1st International Healthcare Conference หัวข้อ “บริการสุขภาพ ความท้าทายและโอกาส สำหรับทุกคน” จัดโดย คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ณ โรงแรมรอยัล คลิฟ บีช พัทยา (Royal Cliff Beach Hotel Pattaya) โดยมี ดร.สุวรรณา ศิลปอาชา รองประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ ศ.ดร.วิพรรณ ประจวบเหมาะ อดีตคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมถึงผู้เข้าร่วมประชุม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เข้าร่วมรับฟัง

สุขภาพโลกเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญ

นายวราวุธ กล่าวว่า บทบาทของพยาบาลในฐานะกระดูกสันหลังของระบบสุขภาพ ที่อยู่เคียงข้างผู้ป่วยตั้งแต่ต้นจนจบชีวิตและเป็นผู้สร้างความแตกต่างอย่างแท้จริงในชีวิตของทุกคน สถานการณ์สุขภาพโลกกำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญ แม้ว่ามนุษยชาติจะก้าวหน้าด้านสาธารณสุขและอายุขัยมากขึ้น แต่ยังคงมีความเหลื่อมล้ำอย่างมากในระดับประเทศและระหว่างประเทศโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และชนพื้นเมืองซึ่งยังไม่เข้าถึงบริการขั้นพื้นฐาน ตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า กว่าครึ่งของประชากรโลกยังไม่เข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็น ในขณะที่ระบบสาธารณสุขของหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยยังเผชิญปัญหาขาดแคลนบุคลากรและโรงพยาบาลแออัด แม้ประเทศไทยจะได้รับการยกย่องเรื่อง “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (UHC)” แต่ยังมีช่องว่างสำหรับแรงงานข้ามชาติและคนไร้สัญชาติที่อยู่นอกระบบ

...

สูงวัย-โรคไม่ติดต่อ ภาระศก.

นายวราวุธ กล่าวด้วยว่า การเข้าสู่สังคมสูงวัยและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งกำลังเพิ่มภาระทางเศรษฐกิจอย่างมากในประเทศไทย โรคเหล่านี้สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 10% ของจีดีพี นอกจากนี้ยังมีปัญหาสุขภาพจิตที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉลี่ยมีคนไทยเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายถึง 15 คนต่อวัน ขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) กลายเป็นวิกฤตสุขภาพโลกที่ส่งผลต่อประชากรเปราะบางอย่างรุนแรง อีกทั้งโรคติดต่อที่เพิ่มขึ้น ภาวะร้อนจัด มลพิษ น้ำท่วม ภัยแล้ง ประเทศไทยมีประชากรกว่า 8 ล้านคน อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย การจัดทำแผนปรับตัวแห่งชาติ (NAP) ของไทย จึงได้บูรณาการประเด็นสุขภาพเพื่อเสริมความยืดหยุ่นของระบบสาธารณสุขต่อภัยที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และปัญหาความยั่งยืนทางการเงิน การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งองค์การอนามัยโลกคาดว่าจะขาดแคลนบุคลากรถึง 10 ล้านคน ภายในปี 2030 ทำให้ระบบสุขภาพของหลายประเทศอยู่ในภาวะเปราะบาง


มองเห็นโอกาสของระบบสธ.

หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวด้วยว่า ได้เล็งเห็นโอกาสใหม่ของระบบสาธารณสุข โดยขับเคลื่อนเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวมถึงเพิ่มการลงทุนในบริการสุขภาพขั้นปฐมภูมิ การลงทุนในบุคลากรสุขภาพ ทั้งค่าตอบแทนที่เป็นธรรม ความปลอดภัยในการทำงาน การลดการเลือกปฏิบัติโดยเฉพาะในบุคลากรหญิง การมุ่งเน้นป้องกันโรคและปัจจัยทางสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษ ความยากจน ที่เป็นรากของปัญหาสุขภาพ การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสุขภาพ อาทิ Telemedicine ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หุ่นยนต์ทางการแพทย์ บิ๊กดาต้าเพื่อขยายการเข้าถึงบริการในพื้นที่ห่างไกลโดยต้องคำนึงถึงจริยธรรมและความเท่าเทียมทางดิจิทัล การสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน ตัวอย่างเช่น การมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านของประเทศไทยที่เป็นแบบอย่างพลังชุมชนในงานสุขภาพได้ดี

โอกาสอุตสาหกรรมสุขภาพ

ในโลกปัจจุบันนี้วิกฤตคู่ คือ สังคมสูงวัยและการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เป็นแรงผลักดันให้เกิดเศรษฐกิจผู้สูงอายุ (Silver Economy) และ เศรษฐกิจอายุยืน (Longevity Economy) จะสร้างโอกาสใหม่ในอุตสาหกรรมสุขภาพ บริการดูแลที่บ้าน เทคโนโลยีสุขภาพและการส่งเสริมคุณภาพชีวิต “สุขภาพของประชาชนคือรากฐานของเศรษฐกิจที่มั่นคงและสังคมที่เข้มแข็ง เราควรเลือกความหวังแทนความสิ้นหวัง และเลือกการลงมือทำแทนการนิ่งเฉย เพื่อสร้างโลกที่สุขภาพเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคนไม่ใช่สิทธิพิเศษของใครบางคน”