“ศิริกัญญา” เสนอ 4 แนวทางรับมือเปลี่ยนแปลงการจ้างงาน ชู “สวัสดิการติดตัว-บัญชีแรงงาน” รับมือโลกงานยุคใหม่ ย้ำเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาขึ้น  คุณภาพชีวิตของแรงงานต้องดีขึ้นด้วย


วันที่ 2 พ.ย. 2568 ที่อาคารรัฐสภา ในงานประชุมวิชาการด้านแรงงานของประเทศไทย หัวข้อ “แรงงานไทยท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง” ซึ่งจัดโดยกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร กรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา, มูลนิธิ ฟรีดริช เอแบร์ท ประเทศไทย, ไทยรัฐกรุ๊ป และพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย 

ในช่วงเช้ามีน.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ตัวแทน สส. จากพรรคประชาชน ได้กล่าวถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตของแรงงานและการปฏิรูประบบสวัสดิการเพื่อรองรับรูปแบบงานใหม่ โดยระบุว่า ทั้งแรงงาน นโยบาย และระบบราชการ ล้วนตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและเศรษฐกิจโลกที่รวดเร็วไม่ทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบราชการ ที่อาจมีความล่าช้าและเชื่องช้าที่สุดในการปรับตัว น.ส.ศิริกัญญา เสนอว่า รัฐและผู้กำหนดนโยบายต้องเข้ามามีบทบาทในการช่วยเหลือให้แรงงานปรับตัว และไม่ควรปล่อยให้แรงงานต้องใช้ทรัพยากรส่วนตัวในการตัดสินใจปรับตัวด้วยตนเอง

แรงกดดันที่แรงงานไทยเผชิญ

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวด้วยว่า การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีและการเข้าสู่สังคมสูงวัยได้สร้างแรงกดดันหลัก 3 ประการต่อกำลังแรงงานไทย

1. อายุ (Age) ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย ส่งผลให้กำลังแรงงานมีแนวโน้มอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

2. ทักษะ (Skills) ปัญหาด้านทักษะของแรงงานไทยเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมายาวนาน ข้อมูลล่าสุดพบว่า กำลังแรงงานไทย 40 ล้านคน มีถึง 60% (ประมาณ 24 ล้านคน) ที่จบการศึกษาเพียงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งไม่สามารถนำพาประเทศไปข้างหน้าในสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไปได้

...

3. เทคโนโลยี (Technology Disruption) การเข้ามาของ AI และเทคโนโลยีส่งผลกระทบต่อทั้งแรงงานปกขาวและภาคการผลิต


ตปท.จ้างคนรุ่นเด็กลดลง

ขณะที่บริษัทเอกชนขนาดใหญ่บางแห่งเริ่มกำหนด อายุสูงสุดในการรับพนักงานใหม่ที่ไม่ใช่ First Jobber เช่น ไม่รับผู้ที่มีอายุเกิน 30 ปี โดยพวกเขาต้องการคนที่เรียกว่า “AI Native” คือกลุ่มคนที่คุ้นเคยกับการใช้ Large Language Model   เช่นเดียวกับภาพในต่างประเทศ (AI Adopting Firm) มีงานสำรวจการจ้างงานในต่างประเทศพบว่า หลังจากการเปิดตัว GPT เวอร์ชั่น 3.5 ในเดือนธันวาคม 2565 บริษัทที่ใช้ AI มีการจ้างงานคนรุ่นเด็กลดลง แต่กลับมีการจ้างงาน คนรุ่นใหญ่/ผู้มีประสบการณ์เพิ่มขึ้น เนื่องจาก AI สามารถทำแทนงานที่รุ่นเด็กทำได้ แต่ทักษะในการตัดสินใจ (Judgment) และประสบการณ์ของคนรุ่นใหญ่ยังมีความจำเป็นอย่างยิ่ง

เสนอ 4 ด้านรับมือปัญหาแรงงาน

ในส่วนของแรงงานภาคการผลิต (Blue-collar) ภาคการผลิตเผชิญการถูกทดแทนด้วย เครื่องจักร ออโตเมชัน และหุ่นยนต์ มานานแล้ว อย่างไรก็ตาม แรงงานรุ่นใหญ่ที่มีประสบการณ์จะมีความต้องการสูงขึ้น เพื่อทำหน้าที่ ควบคุมดูแลเครื่องจักรหรือระบบอัตโนมัติ ในสายพานการผลิต แทนการดูแลแรงงานมนุษย์แบบดั้งเดิม  ตนจึงมีข้อเสนอแนะ 4 ด้าน ในการปรับโครงสร้างสวัสดิการและยกระดับทักษะ พร้อมขอนำเสนอแนวทางนโยบายเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการจ้างงาน (เช่น งานชั่วคราว สัญญาจ้างรายโครงการ หรือแรงงานแพลตฟอร์ม)


1. Portable Benefits (สวัสดิการติดตัวแรงงาน) 

สิทธิสวัสดิการต้องติดอยู่กับตัวแรงงาน ไม่ใช่ติดอยู่กับนายจ้าง การเปลี่ยนรูปแบบการจ้างงานไม่ควรทำให้สิทธิสวัสดิการหลุดหายไป หรือถูกบังคับให้เปลี่ยนไปใช้การสมทบในรูปแบบอื่น เช่น จากมาตรา 33 ไปสู่มาตรา 39

2.Universal Labour Account (บัญชีแรงงานเชื่อมสิทธิและทักษะ) 

ปัจจุบัน แพลตฟอร์มฝึกอบรมและงบประมาณมีความกระจัดกระจาย สิ่งที่จำเป็นคือการจัดทำ ฐานข้อมูลกลาง (Central Database) ที่ระบุตัวตนและบันทึกประวัติทักษะและการอบรมของแรงงานทุกคน ฐานข้อมูลนี้จะสำคัญต่อการ Matching การจ้างงาน และควรเชื่อมต่อกับ แพลตฟอร์มการ Up/Reskill ที่มีแกนกลางหลัก (Core) เพียงหนึ่งเดียว เพื่อให้มีประสิทธิภาพ

3.Platform Co-Funding (รัฐ แรงงาน แพลตฟอร์มร่วมสมทบ) 

รูปแบบงานบนแพลตฟอร์มทำให้เส้นแบ่งระหว่าง “นายจ้าง” และ “ตัวกลาง” เบลอไม่ชัดเจน ควรพิจารณาแนวทางจากต่างประเทศ เช่น เกาหลีใต้หรือสิงคโปร์ ที่ให้ แพลตฟอร์มจ่ายเงินสมทบส่วนหนึ่งเข้ากองทุน นอกจากนี้ อาจพิจารณาให้ คนจ้างตัวจริง (เช่น ลูกค้าที่ซื้ออาหารสำหรับไรเดอร์) มีส่วนร่วมสมทบเข้ากองทุนเพื่อรักษาสวัสดิการของแรงงานแพลตฟอร์ม

4. Wellbeing Beyond Income (ดูแลชีวิตมากกว่ารายได้) 

การกำหนดนโยบายต้องคิดไปไกลกว่าแค่เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ แต่ต้องรวมถึงการให้ เงินชดเชย (Wage Replacement) ในช่วงที่แรงงานต้องหยุดงานเพื่อไปฝึกอบรมเพื่อแก้ปัญหาทั้งด้านทักษะและรายได้พร้อมกัน รวมถึงการกำหนด จำนวนชั่วโมงทำงานต่อสัปดาห์ที่เหมาะสม เพื่อให้มีเวลาพักผ่อน และการดูแลสวัสดิการด้านสุขภาพจิต

ต้องทำให้ชีวิตแรงงานดีขึ้น

สส.ศิริกัญญา ยังปิดท้ายด้วยการย้ำหลักการสำคัญที่ว่า “เราต้องยืนยันว่า คุณภาพชีวิตของแรงงานต้องดีขึ้น ไม่ใช่แย่ลง เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีเข้ามา ไม่ว่าแนวทางการทำงานจะเปลี่ยนไปอย่างไรในอนาคต สิทธิและสวัสดิการที่แรงงานต้องได้รับจะต้องดีขึ้นกว่าเดิม”