ป.ป.ช.รับไต่สวน “เศรษฐา-ครม.” แปรญัตติเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายปี 2568 นำงบชำระเงินกู้ 5 สถาบันการเงิน ไปโปะงบกลางทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หวังผลคะแนนนิยมทางการเมือง มีมูลผิดม.157


วันที่ 31 ต.ค. 2568 นายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รักษาราชการแทนเลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีกล่าวหานายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรีกับพวกแปรญัตติตัดทอนงบประมาณรายจ่ายในส่วนชำระต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ ว่า การที่นายเศรษฐากับพวกตัดทอนงบรายจ่ายสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 5 แห่ง วงเงิน 35,000 ล้านบาท ที่เสนอปรับลดงบประมาณของตนเองลง เพื่อนำไปเพิ่มเป็นงบกลางใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ไม่ได้เกิดจาก สส. หรือ กมธ.วิสามัญฯ เป็นผู้ขอแปรญัตติเอง ดังนั้นจึงไม่มีการแปรญัตติของ สส. และ กมธ.วิสามัญฯ อันเป็นองค์ประกอบความผิดตามรัฐธรรมนูญ คดีไม่มีมูลความผิดฐานฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 อีกทั้งศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยการยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ต้องอยู่ระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี หากร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวพิจารณาเสร็จสิ้น ใช้บังคับแล้ว ย่อมไม่เข้าหลักเกณฑ์เสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญ จึงไม่มีกรณีต้องเสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้ยุติสอบสวนทางลับ

รับไต่สวน “เศรษฐา-ครม.” แปรงบผิดม.157

นายสุรพงษ์ กล่าวด้วยว่า แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงนายเศรษฐา และ ครม. มอบนโยบายให้สำนักงบประมาณ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ไปดำเนินการให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 5 แห่ง ปรับลดงบประมาณของตนเอง นำไปใช้จ่ายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐบาล และ ครม. วันที่ 13 ส.ค. 2567 เห็นชอบการเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายปี 2568 เพื่อนำไปใช้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ต่อมา กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 และ สส. มีมติเสียงข้างมากเห็นชอบเปลี่ยนแปลงงบประมาณดังกล่าว ทั้งที่งบรายจ่ายที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 5 แห่ง มีสถานะเป็นภาระทางการเงิน เพื่อชดเชยต้นทุนทางการเงิน ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และ พ.ร.บ.พัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2562 รัฐบาลต้องตั้งงบรายจ่ายแก่หน่วยงานรัฐ ในโอกาสแรกที่กระทำได้ แต่รัฐบาลนายเศรษฐากลับปรับลดงบสถาบันการเงินทั้ง 5 แห่ง และไม่ตั้งงบชดเชยให้ในปีงบประมาณ 2568 การกระทำของนายเศรษฐา ครม. และเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องจึงเข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วย พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ มีเจตนานำงบรายจ่ายดังกล่าวไปใช้โครงการเติมเงิน 10,000 บาท เพื่อมุ่งสร้างความนิยมทางการเมือง อาจเกิดความเสียหายต่อระบบการเงินการคลังประเทศ มีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้รับเรื่องไว้ไต่สวน บุคคลหรือคณะบุคคล ดังนี้ 1. นายเศรษฐา 2. ครม.รัฐบาลนายเศรษฐาที่มีมติเห็นชอบปรับลดงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 วันที่ 13 ส.ค. 2567 3. นายพรชัย ฐีระเวช ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายกรณินทร์ กาญจโนมัย รอง ผอ.สำนักงบประมาณ ที่เสนอปรับลดงบประมาณสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 5 แห่ง 35,000 ล้านบาท

...

“ครม.อิ๊งค์” รอด ไม่เกี่ยวแปรงบประมาณ

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ส่วนผู้ถูกร้องรายอื่น ได้แก่ น.ส.แพทองธาร นายกรัฐมนตรี และ ครม.ในรัฐบาลแพทองธาร ป.ป.ช. มีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับเรื่องไว้ดำเนินการไต่สวน เนื่องจากขณะนั้นผู้ถูกร้องยังไม่ได้เข้าดำรงตำแหน่งหรือปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี จึงไม่เกี่ยวข้องการแปรญัตติปรับลดงบในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 รวมถึงคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบรายจ่ายประจำปี 2568 สส. สว. ที่ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณดังกล่าว มีมติไม่รับเรื่องไว้ดำเนินการไต่สวน เนื่องจากไม่ปรากฏพยานหลักฐานรับฟังได้ว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงงบประมาณสถาบัน

ไม่รับคำร้อง “อิ๊งค์” ผิดจริยธรรม 

นายสุรพงษ์ อินทรถาวร ยังกล่าวด้วยว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาคำร้องที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งเรื่องกรณี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็น รมต. ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่เคยต้องคำสั่งศาลฎีกากระทำผิดกฎหมาย ว่า ป.ป.ช. เห็นว่า การฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงเป็นพฤติการณ์ที่ต้องกระทำขณะดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่การกระทำของ น.ส.แพทองธาร เกิดขึ้นขณะที่ยังไม่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี จึงมิใช่การกล่าวหาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรงตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 จึงไม่รับคำกล่าวหาไว้พิจารณา