รองผบ.ตร. โอดกลางวงกรรมาธิการตำรวจ เคยชงรัฐบาล - กสทช. ออกกฎหมาย “1 คน 1 เบอร์ – 1 อีแบงก์กิ้ง” แก้ปัญหาสแกมเมอร์ แบบสิงคโปร์ แต่เหลว จวก “แบงก์พาณิชย์-กสทช. “ ทำตำรวจเป็นจำเลยสังคม
วันที่ 30 ตุลาคม 2568 ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี น.ส.สุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ สส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธาน ได้ประชุมติดตามความคืบหน้าการปฏิรูปตำรวจ ภายหลังการบังคับใช้ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 โดยมีพล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) และอดีตผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ตำรวจไซเบอร์) ในฐานะผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เข้าร่วมชี้แจง โดยช่วงหนึ่งของการประชุม พล.ต.อ.กรไชย กล่าวถึงปัญหา “สแกมเมอร์” ว่า สาเหตุหลักอยู่ที่ 3 หน่วยงานสำคัญคือ ธนาคารพาณิชย์, กสทช. และตำรวจ แต่ประชาชนมักเข้าใจผิดว่า ตำรวจต้องรับผิดชอบทั้งหมด ทั้งที่เงินอยู่ในระบบธนาคารพาณิชย์และโทรศัพท์มือถือของเหยื่อเอง ทั้งนี้ สตช.เคยเสนอให้กำหนดในกฎหมายเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยให้ 1 บุคคลครอบครองได้ 1 หมายเลข และ 1 บัญชีอีแบงก์กิ้ง เพื่อควบคุมการโอนเงินให้สามารถตรวจสอบได้ แต่ข้อเสนอนี้ยังไม่ถูกนำไปปฏิบัติ แม้ ธปท. บอกว่า 1 เบอร์มีแค่ 1 ธนาคาร แต่ของตนเองมีเบอร์เดียวกลับมีถึง 3 ธนาคาร ซึ่งปัจจุบันมีบุคคลธรรมดาถือครองหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่เกิน 1,000 หมายเลขต่อคน โดยซื้อได้ง่ายมากตามร้านสะดวกซื้อต่างๆ ทั้งนี้พบว่า เด็กอายุเพียง 12 ปีก็สามารถเปิดบัญชีอีแบงก์กิ้งได้ และ กสทช. ไม่เคยกำหนดข้อจำกัด จึงเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพใช้ซิมม้าและบัญชีม้าโอนเงินหลอกลวงเหยื่อ โดยเฉพาะการใช้เครื่อง SIM BOX ที่ตนเคยจับได้กว่า 200 เครื่องในปี 2565 ซึ่งเครื่องหนึ่งมี 32 ซิม สามารถโทรได้วันละ 16,000 ครั้ง เดือนละกว่า 4.8 แสนสายโทร รวมทั้งหมดโทรได้กว่า 96 ล้านครั้งต่อเดือน ซึ่งเป็นเครื่องมือหลักในการหลอกลวงของแก๊งสแกมเมอร์จากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา
...
เรียกร้องออกกฎหมายบังคับ
“คนที่ถือเบอร์ในไทยมีราว 40 ล้านคน แต่มีคนถูกหลอกกว่า 10 ล้านคน แค่โอนคนละพันบาทก็ทำเงินมหาศาลแล้ว ปัจจุบันสายโทรหลอกลวงจำนวนมากถูกยิงสัญญาณจากประเทศเพื่อนบ้านไปกลับหลายประเทศก่อนกลับเข้ามาไทย ทำให้ติดตามหา IP ได้ยาก ผมเคยเสนอให้ กสทช. จำกัด 1 คนมีได้ไม่เกิน 5 เบอร์ แต่ผ่านมา 10 ปีก็ยังไม่ดำเนินการ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งออกกฎหมายมาบังคับใช้จริงจัง ไม่ใช่แค่ ขอความร่วมมือ มีหลายประเทศใช้แล้ว เช่นกรณีประเทศสิงคโปร์ที่มีบทลงโทษชัด ทำให้ไม่มีปัญหาสแกมเมอร์เหมือนไทย“ พล.ต.อ.กรไชย กล่าว
ซัดธนาคารตรวจสอบนาน
พล.ต.อ.กรไชย กล่าวต่อว่า ในส่วนของธนาคาร ถือเป็น ต้นทางของเงิน แต่กลับใช้เวลาตรวจสอบนาน 1–2 เดือน จึงรู้ปลายทางการโอนเงิน ทำให้ยากต่อการติดตาม เช่นกรณีเหยื่อถูกหลอกโอน 7 ล้านบาทในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง 20 นาที หากธนาคารรับแจ้งความได้ทันทีและ บล็อกบัญชี ได้เลย เงินก็ยังคงอยู่ในระบบ แต่ที่ผ่านมาไม่มีการออกกฎหมายบังคับ จึงไม่มีความรับผิดชอบ ยกตัวอย่างว่า ธุรกรรมเล็ก ๆ เช่น ซื้อของในเกมออนไลน์ครั้งละ 31 บาท เมื่อรวมตลอดคืนอาจถึง 20,000 บาท ทำให้ยอดความเสียหายทั้งระบบสูงถึง กว่า 300 ล้านบาท โดยที่ธนาคารไม่แจ้งความ เพราะมีระบบประกันคุ้มครอง บางคนไม่รู้ตัวเลยว่าถูกดูดเงินออกไปทั้งคืน
ดังนั้น ต้องออกกฎหมายบังคับให้ กสทช. และธนาคารร่วมมือกับตำรวจอย่างจริงจัง หากยังปล่อยให้ทุกอย่างพึ่งเพียง คำขอความร่วมมือ สังคมไทยจะไม่มีวันหลุดพ้นจากปัญหาสแกมเมอร์
ซัดเอกชนมองแต่ผลกำไร
“ลองถามแต่ละบริษัทที่ให้บริการมือถือจะรู้ว่าที่ขายดีที่สุดคือซิมอินเตอร์เน็ต แต่ไม่มีใครกล้าเปิดเผยเพราะมันคือผลกำไร เขาไม่ได้มองความเดือดร้อนของประชาชนแต่มองที่กำไรเท่านั้น โดยไม่มีกฎหมายไปบังคับ เลยปล่อยให้เขาเล่นเอาเถิดกับรัฐบาลและประชาชน แล้วตัวเองออกมาเป็นฮีโร่ ขณะที่ตำรวจกลายเป็นเหยื่อแทน ส่วนคนที่ไปทำงานเป็นสแกมเมอร์แล้วบอกว่าโดนบังคับ ผมบอกได้เลยเดินมา 100 คน มี 99.8% เต็มใจทั้งนั้น ไม่มีใครบังคับหรอก“พล.ต.อ.กรไชยกล่าว