“บวรศักดิ์” แจง รัฐบาลควบคุมไม่ได้ หลัง “กกต.” ขีดเส้น ส่งคำถามประชามติ แก้รัฐธรรมนูญ ก่อน 75 วัน เหตุเป็นเรื่องของสภาฯ ย้ำ ยึดตามกรอบ 60 วัน จ่อ เปิดเวทีสาธารณะ ถกปม MOU 43 - 44
วันที่ 30 ต.ค. 2568 ที่ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดให้รัฐบาล เร่งส่งคำถามทำประชามติภายใน 75 วัน ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในครั้งหน้า ว่า ไม่ใช่ 75 วัน แต่รัฐบาลเอา 60 วัน ตามกฎหมาย เนื่องจากร่างรัฐธรรมนูญยังไม่ได้เริ่มจัดทำในรูปแบบที่ชัดเจน อีกทั้ง ในประเด็นเรื่องบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยและกัมพูชา หรือ MOU 43 และ 44 ได้มอบการบ้านให้กระทรวงการต่างประเทศ, กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานอื่นๆ เพื่อรับฟังความเห็น โดยก่อนหน้านี้ได้มีการประชุมภายในไปแล้วครั้งหนึ่ง และจะมีการเชิญนักวิชาการที่มีความรู้จริง ไม่ใช่ “กูรู” ในสื่อ มาหารือร่วมกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ จึงไม่อาจบอก กกต.ได้ว่า คำถามจะแล้วเสร็จเมื่อไหร่ตามที่ กกต.เคยปรารถนา
เตรียมคุยกกต.หาทางออก
นายบวรศักดิ์ กล่าวต่อว่า ตนเองกับเลขาธิการ กกต. ก็จะมาคุยกันเพื่อหาทางออกให้ดีที่สุด และให้ข้อมูลที่ประชาชนเข้าใจง่ายที่สุด โดยรัฐบาลจะเปิดเวทีสาธารณะ และเอื้ออำนวยความสะดวกให้ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยจะไม่เป็นผู้จัดเวทีเอง แต่จะขอความร่วมมือจากสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา (สว.) และพรรคการเมืองต่างๆ ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ให้เป็นผู้จัดเวทีหลัก และสื่อต่างๆ เพื่อขยายช่องทางให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง และป้องกันไม่ให้ถูกกล่าวหาว่ารัฐบาลชี้นำ
ยอมรับคุมรัฐสภาฯไม่ได้
...
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า กกต.ขอให้ส่งคำถามประชามติ ภายในวันที่ 17 ม.ค. 2569 ในส่วนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ สภาฯ จะต้องส่งให้ ครม.ภายในวันที่เท่าไหร่ จึงจะทัน นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า กกต.แสดงความประสงค์ของ กกต. แต่ตามกฎหมาย กำหนดให้ดำเนินการภายใน 60 วันก่อนการจัดประชามติ โดยรัฐบาลจะพยายามเอื้อให้เป็นไปตามที่ กกต.ปรารถนาให้มากที่สุด แต่รัฐบาลไม่สามารถควบคุมได้ทุกขั้นตอน เช่น การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ว่า ร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านวาระสามหรือไม่ รัฐบาลไม่สามารถไปยุ่งได้ เพราะหากร่างดังกล่าวไม่ผ่านก็ถือว่าจบกระบวนการ แต่หากผ่านแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการตั้งคำถามประชามติ ซึ่งรัฐบาลจะต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางที่เหมาะสม และทำแล้วไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อประเทศ