สอง–สามสัปดาห์ที่หายไปเพราะเดินทางต่างประเทศ แถมกลับมาโดนแบคทีเรียจากสระว่ายน้ำเล่นงาน ทำให้หมดปัญญาจะลุกขึ้นมาเขียนหนังสือบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้อ่าน

มาถึงสัปดาห์นี้ มีเรื่องที่ร้อนที่สุดเป็นเรื่องที่ นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ไปลงนาม Joint Statement กับ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าด้วยแร่หายาก (Rare Earth) ระหว่างการประชุม ASEAN Summit ที่กัวลาลัมเปอร์ ซึ่งมาเลเซียเป็นเจ้าภาพ

หัวข้อใหญ่ที่พูดกันในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน มีอย่างน้อยสองเรื่อง เรื่องแรกคือ ภาษีตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐฯ ที่กระทบหลายประเทศในอาเซียนราว 19–20% ยกเว้นสิงคโปร์ราว 10% และเรื่องที่สองคือ ข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งในทางปฏิบัติ ฝั่งกัมพูชาไม่ทำตามข้อตกลงที่เคยตกลงกันต่อหน้าประธานาธิบดีทรัมป์ที่วอชิงตัน และยังเพิ่งคุยกันใน GBC เมื่อสองเดือนก่อน

แต่การเข้าร่วมของประธานาธิบดีทรัมป์ครั้งนี้ กลายเป็นรูปแบบนักเลงโต เดินเกมรวบหัวรวบหาง ให้ มาเลเซีย–ไทย–เวียดนาม ต้องยอมเข้ากรอบ ข้อตกลงภาษีตอบโต้ แลกกับการที่อาเซียนจะลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เหลือ 0%

สำหรับไทย สินค้าเกษตรที่ประเทศไทยจะลดให้สหรัฐฯ เหลือ 0% โดยรายการที่เข้าใจกันคือ ข้าวโพด ถั่วเหลือง ไวน์ เนื้อหมู เนื้อวัว และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ พร้อมสัญญาณซื้อเครื่องบินโดยสารจากสหรัฐฯ อีก 80 ลำ ด้วย

แต่สิ่งที่คนไทยไม่เคยรู้มาก่อนเลยก็คือ มีการลงนามข้อตกลงกับประธานาธิบดีทรัมป์ว่า จะขายแร่หายากที่เรียกว่า Rare Earth จากไทย ซึ่งนัยว่า มีสายแร่อยู่ในจังหวัดพังงาให้แก่สหรัฐฯ ด้วย! 

ก่อนหน้านี้ สิ่งที่เราๆ ท่านๆ รับรู้กันอยู่ก็คือ แร่หายากที่เอาไปใช้ในอุตสาหกรรมผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ กล้องถ่ายรูป อุปกรณ์ใยแก้วนำแสง และตัวเร่งปฏิกิริยาในแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ไม่มีในประเทศไทย คนไทยส่วนใหญ่จึงงงว่า ข้อตกลงนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร? เพราะแม้แต่ กรมเหมืองแร่ ก็ยังออกมาแจ้งให้ทราบชัดว่า ประเทศไทยไม่มีแหล่งแร่นี้ หรือถ้าจะมีก็น้อยเต็มที ไม่เพียงพอจะเอาไปใช้ในอุตสาหกรรมใดภายในประเทศ…

...

ที่เห็นจะมีก็คือ มีผู้นำเข้าแบบกระจัดกระจายจากจีน และออสเตรเลีย มาสังเคราะห์ แล้วส่งต่อเพื่อใช้งานจริง ทำให้สังคมตั้งคำถามว่า ดีลนี้มาจากไหน มีฐานข้อมูลอะไรอ้างอิง และไทยกำลังถูกดึงเข้าสนามแย่งชิงห่วงโซ่ Rare Earth กับจีนหรือไม่

กรณีนี้ทำให้สังคมคลางแคลงใจ และกล่าวขานกันมากด้วยหวังว่า นายกฯอนุทิน คงจะแค่ “หลงกล” ไม่ได้มีลับลมคมในอะไรกับประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวจนดึงไทยเข้าสู่สมรภูมิแย่งชิงแร่หายากกับประเทศจีนได้สำเร็จ...ประธานาธิบดีทรัมป์ ยังระบุไว้ในเอกสารที่ลงนามด้วยว่า สายแร่หายากที่มีในไทย เช่นเดียวกับที่มีในพม่า กัมพูชา มาเลเซีย จะต้องให้สหรัฐฯ ประมูลก่อน หรือถ้าจะมีโครงการประมูลงานใดๆ เกี่ยวกับแร่หายากนี้ ไทย และทุกประเทศในอาเซียนจะต้องบอกสหรัฐฯ ให้รับรู้ก่อนประเทศอื่นด้วย!!

เห็นทีจะต้องถามคนพูด และคนที่จะทำบันทึกฉบับนี้ให้เป็น Agreement ว่า แน่ใจที่พูดนะว่า...การลงนามในหนังสือที่นำมาโชว์ให้โลกเห็นกันหมดแล้ว และมีลายเซ็นของประธานาธิบดีทรัมป์ ตัวหนาเตอะอยู่ จะยกเลิกได้ง่ายๆ

มีคำถามด้วยว่าถ้ายกเลิกได้จริงจะเซ็นทำไม สำคัญคือยิ่งแก้ตัวเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้รู้ว่า คนไทยเอาแน่เอานอนไม่ได้ หลายมาตรฐาน และอาจไม่โปร่งใส โดยเฉพาะเมื่อไม่ได้มีการบอกกล่าวกันก่อนล่วงหน้า ทั้งที่ผู้ได้รับผลกระทบคือคนไทย จากข้อตกลงดังกล่าว

นอกจากนี้ การยอมให้ผู้นำสหรัฐฯ เอาเปรียบได้ทุกเรื่องโดยไม่เจรจาขอปรับลดอัตราภาษีลงอีก เป็นเรื่องน่าเสียดายที่สุด แม้ไทยจะให้มากกว่าก็ตาม!

ลองมาดูตารางเปรียบเทียบที่ นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน ทำไว้ให้เห็นกันชัดๆ ว่า ประเทศไทยเราเสนออะไรให้สหรัฐฯ บ้าง เทียบกับบางประเทศ หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ปรับลดอัตราภาษีตอบโต้ทางการค้ากับไทยลงจาก 36% เหลือ 19% …

  • นำเข้าสินค้าเกษตรสหรัฐฯ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และกากถั่วเหลือง 2,600 ล้านดอลลาร์/ปี
  • ซื้อเครื่องบิน 80 ลำ มูลค่า 18,800 ล้านดอลลาร์
  • ซื้อพลังงาน 5,400 ล้านดอลลาร์/ปี
  • ไม่เก็บภาษี/มาตรการ ต่อบริการ–ผลิตภัณฑ์ดิจิทัลของบริษัทสหรัฐฯ
  • และที่แตกต่าง คือให้ไทย ยกเลิกระบบเงินสินบน–รางวัลนำจับของศุลกากร

ทางด้านเวียดนามซื้อเครื่องบิน 50 ลำ (ราว 8,000 ล้านดอลลาร์), สินค้าเกษตร 2,900 ล้านดอลลาร์ และยืนยัน Reciprocal, Fair and Balanced Trade

ในขณะที่มาเลเซีย จะซื้อเครื่องบิน 30 ลำ, ซื้อเซมิคอนดักเตอร์–ชิ้นส่วนอากาศยาน–อุปกรณ์ดาต้าเซ็นเตอร์ ราว 150,000 ล้านดอลลาร์, ซื้อก๊าซ LNG 3,400 ล้านดอลลาร์/ปี พร้อมกับไม่เก็บภาษีบริการดิจิทัล, เปิดเสรี Rare Earth ให้สหรัฐฯ, และเตรียมลงทุนในสหรัฐฯ 70,000 ล้านดอลลาร์

เมื่อวางเทียบกัน ไทยดูเหมือนจ่ายแพงกว่าหลายส่วน ทั้งเชิงตัวเงินและ ภาระเชิงกฎระเบียบ ที่อาจส่งผลยาว ทั้งที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ มานาน

ส่วนเรื่องข้อพิพาทแนวชายแดน ระหว่างไทย กับ กัมพูชา ซึ่งคนไทยคาดหวังว่า จะได้รับการหยิบยกขึ้นมาหารือกันอย่างจริงจัง และมีการทำสัญญากันว่า กัมพูชาจะต้องถอนอาวุธหนักออกไป เก็บกู้ทุ่นระเบิดที่เอามาวางในเขตประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กัมพูชาจะต้องจัดการปราบปรามแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ กวาดล้างขบวนการค้ามนุษย์ ยุติการล่อลวงคนจากชาติต่างๆ ทั่วโลกไปกักขัง หรือขายต่อเพื่อส่งไปทำงานเป็นสแกมเมอร์ในค่ายกักกันต่างๆ

ขณะที่ คนไทยต่างรับรู้ข่าวความพยายามของสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และเกาหลีใต้ ในการปราบปรามกลุ่มจีนเทา ซึ่งทำมาค้าขายกับแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ ค้ามนุษย์ และสแกมเมอร์ในกัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบถึงชาวอเมริกัน ผู้คนในสหราชอาณาจักรด้วยการยึดทรัพย์ 15,000 ล้านดอลลาร์ของจีนเทาที่เข้าไปอาศัยในสหรัฐฯ และฝั่งเกาหลีใต้ถึงขั้นส่งรัฐมนตรีช่วยว่าการต่างประเทศ และตำรวจ เข้าไปพาคนของตนที่ถูกล่อลวง/ทำงานใน “แคมป์สแกม” กลับประเทศแล้ว ทำให้คนไทยเห็นข้อแตกต่างว่า รัฐบาลไทยยังไม่มีท่าทีที่เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะกับท่าทีของ นายกฯอนุทิน

เริ่มแรกเราต่างคาดหวังว่า ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา จะเปิดโอกาสให้นายกฯ อนุทิน แสดงท่าทีที่เด็ดขาดจนยุติปัญหานี้ได้อย่างละมุนละม่อม 

ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสดีที่จะนำกองทัพเข้าไปจัดการกับเหล่าแก๊งค์อาชญากรรมออนไลน์ และการค้ามนุษย์ในกัมพูชา เพื่อแสดงให้เห็นว่าประเทศไทย ไม่มีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ด้วย

ใครๆ ก็รู้ว่า กัมพูชากลายเป็นศูนย์กลางอาชญากรรมออนไลน์–สแกมเมอร์–ค้ามนุษย์ในภูมิภาค แต่ประเทศไทยไม่ใช่ศูนย์กลางการฟอกเงินให้ใคร...ใช่หรือไม่?