“ดร.คเณศ” ชี้ “ทุนสีเทา” ระเบิดเวลาเศรษฐกิจไทย จี้รัฐบาลปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ สลายระบบอุปถัมภ์ ตรวจสอบที่มา เงินทุนต่างชาติ ป้องกันทุนสีเทา


วันที่ 28 ต.ค. 2568 ดร. คเณศ วังส์ไพจิตร หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคไทยก้าวใหม่ เปิดเผยว่า “ทุนสีเทา” ได้กลายเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่บ่อนทำลายเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศอย่างรุนแรง โดยทุนสีเทาคือการดำเนินธุรกิจที่ผสมระหว่างกิจกรรมถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย อาศัยเครือข่ายอุปถัมภ์และความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วน เพื่อฟอกเงินจากอาชญากรรม เช่น การพนันออนไลน์ ยาเสพติด ค้ามนุษย์ และฟอกเงินผ่านธุรกิจท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ และโรงแรม

เศรษฐกิจนอกระบบสูง 8 ล้านล้าน

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ระบุว่า ปี 2568 มีแผนตรวจสอบนิติบุคคลเชิงรุกกว่า 26,830 ราย ใน 9 จังหวัดเสี่ยงสูง โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งในปี 2564 พบการกระทำผิดมากถึง 61.38% ของคดีนอมินีทั้งหมด ขณะที่สำนักงานสภาพัฒน์ฯ ประเมินว่า เศรษฐกิจนอกระบบของไทยมีมูลค่าสูงถึง 8 ล้านล้านบาท หรือราว 40% ของ GDP โดยกิจกรรมผิดกฎหมายหลัก เช่น การพนัน การค้าของเถื่อน และการค้าประเวณี มีมูลค่ารวมกว่า 2 ล้านล้านบาทต่อปี

ดร. คเณศ กล่าวด้วยว่า  หากรัฐบาลยังมองทุนสีเทาเป็นเพียงปัญหาอาชญากรรมทั่วไป จะไม่มีทางแก้ไขได้จริง เพราะรากของปัญหาอยู่ที่โครงสร้างอำนาจ ระบบอุปถัมภ์ และช่องโหว่ทางเศรษฐกิจที่เปิดทางให้เงินผิดกฎหมายไหลเข้าสู่ระบบได้อย่างถูกกฎหมาย  โดยขอเสนอแนวทางเชิงนโยบาย 5 ด้านหลัก ได้แก่

1. ปฏิรูปโครงสร้างอำนาจและสลายระบบอุปถัมภ์ – ตรวจสอบความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่รัฐและสร้างกลไกตรวจสอบอิสระที่โปร่งใส

...

2. จัดการเม็ดเงินนอกระบบและสร้างฐานข้อมูลกลาง – ดึงธุรกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบภาษี และบูรณาการข้อมูลจาก ปปง. DSI DBD และกรมที่ดิน เพื่อวัดขนาดเศรษฐกิจนอกระบบอย่างแม่นยำ

3. เพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายในภาคอสังหาริมทรัพย์และนอมินี – ตรวจสอบเชิงรุกและเพิ่มโทษผู้กระทำผิด เพื่อสกัดการฟอกเงินผ่านธุรกิจบังหน้า

4. ให้ BOI และ EEC มีบทบาทคัดกรองการลงทุนต่างชาติ – ต้องตรวจสอบที่มาของเงินทุนและโครงสร้างผู้ถือหุ้น เพื่อป้องกันทุนเทาใช้การลงทุนเป็นช่องทางเข้ามาในประเทศภายใต้โครงการส่งเสริมการลงทุน

5. ป้องกันทุนสีเทาเข้าสู่ตลาดทุนไทย – ตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) และ ก.ล.ต. ต้องเข้ามามีบทบาทเชิงรุก ออกมาตรการคัดกรองแหล่งเงินลงทุนอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะบริษัทที่มีผู้ถือหุ้นต่างชาติซับซ้อน เพื่อป้องกันการฟอกเงินผ่านตลาดทุน ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ของประเทศในสายตานานาชาติ