“พิชัย” จี้ “นายกฯ อนุทิน” เร่งปราบและยึดทรัพย์แก๊งสแกมเมอร์ สร้างความเชื่อมั่นส่งออกและการลงทุน ชี้ ผลงาน “รัฐบาลแพทองธาร” 12 เดือนส่งออกขยาย 13% รัฐบาลต้องแจงปมลงนาม “แรร์เอิร์ธ” กับสหรัฐฯ
วันที่ 28 ตุลาคม 2568 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า เดือนกันยายน 2568 ที่เป็นเดือนสุดท้ายของการบริหารของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี การส่งออกพุ่งถึง 19% ทั้งที่การเจรจาภาษีทรัมป์จบไปด้วยดีแล้วตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2568 ซึ่งเป็นการหักหน้านักวิจารณ์และนักวิชาการที่บอกว่าการส่งออกที่ขยายมากตั้งแต่ต้นปีมาจากการเร่งส่งออกเพื่อหนีภาษีทรัมป์ทั้งหมด ทั้งที่ตนบอกมาตลอดว่าการส่งออกปีนี้จะเป็นพระเอกของเศรษฐกิจไทย และน่าจะขยายตัวได้เกิน 10% และการส่งออกที่ขยายมากน่าจะมาจากการเลี่ยงภาษีทรัมป์เพียงบางส่วนเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่มาจากการลงทุนจากต่างประเทศที่เข้ามามากขึ้น
นายพิชัย ระบุต่อไปว่า ความมั่นใจในรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในขณะนั้น และการเจรจาเขตการค้าเสรีที่สำเร็จ เช่น การเจรจา FTA กับ EFTA (ส่งออกไปประเทศใน EFTA ขยายกว่า 100% ส่งออกไปสวิสขยายกว่า 400%) ทำให้การส่งออกมีการขยายตัวอย่างมีพื้นฐานมั่นคง เพราะถ้าเป็นแค่การส่งออกเพื่อเลี่ยงภาษีทรัมป์ ป่านนี้คงลดลงมากแล้ว อีกทั้งตลอด 10 ปีก่อนหน้านี้การส่งออกขยายได้เฉลี่ยเพียงปีละ 1% กว่าเท่านั้น จะเร่งส่งออกเพื่อเลี่ยงภาษีทรัมป์จะไม่สามารถทำให้ส่งออกพุ่งได้กว่า 13% แน่นอน และต่อมารัฐบาลเพื่อไทยก็ได้ประสบความสำเร็จในการเจรจาภาษีทรัมป์ที่ 19% ซึ่งทำให้การส่งออกของไทยยังจะขยายได้อีกอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น จึงอยากให้นักวิชาการที่ออกมาวิจารณ์แบบที่ไม่มีข้อมูลที่ถูกต้องได้ทำความเข้าใจเสียใหม่ และสนับสนุนให้มีการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในอุตสาหกรรมสมัยใหม่และการส่งออกให้มากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยพัฒนาได้อย่างมั่นคง ไม่ใช่เป็นแค่นโยบายหาเสียงชั่วคราวแบบโครงการคนละครึ่ง ซึ่งจากการศึกษาประวัติย้อนหลัง โครงการคนละครึ่งที่ทำหลายครั้งในอดีต แม้จะเป็นโครงการที่ดีและช่วยเหลือลดค่าใช้จ่ายของประชาชนได้ แต่ผลตอบแทนที่ได้รับแทบจะไม่เพิ่ม GDP เลย หรือจะเพิ่ม GDP ได้น้อยมาก เพราะประชาชนจะใช้จ่ายเท่าเดิม เพียงแต่ได้ลดค่าใช้จ่ายเท่านั้น ซึ่งจะวัดได้จาก GDP ไตรมาสสุดท้ายที่เชื่อว่าน่าจะออกมาไม่ดีนัก หลังจากครึ่งปีแรกภายใต้การบริหารของรัฐบาลเพื่อไทย GDP ยังขยายได้ถึง 3%
...
อดีต รมว.พาณิชย์ เผยต่อไปว่า อยากขอให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาระดับความเชื่อมั่นของต่างประเทศ เพื่อให้การลงทุนและการส่งออกยังขยายตัวอย่างมั่นคงเหมือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะการลงทุนส่งเสริมการลงทุนที่ขยายถึง 1.14 ล้านล้านบาทในปีที่แล้ว และมีการลงทุนจริงเกือบทั้งหมด โดยครึ่งปีแรกของปี 2568 มีการขอส่งเสริมการลงทุนแล้วถึง 1.05 ล้านล้านบาท แต่การลงทุนจริงยังไม่มากนักเนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมือง รวมถึงอยากให้นายอนุทิน สร้างความมั่นใจเพื่อให้มีการลงทุนจริงตามที่ได้มีการขอส่งเสริมการลงทุน และน่าจะต้องมีการลงทุนเข้ามาเพิ่มอีก โดยเฉพาะการลงทุนในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ซึ่งการลงทุนที่เพิ่มขึ้นนี้จะทำให้การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นไปด้วย เพราะการลงทุนส่วนใหญ่ที่เข้ามาในประเทศไทยระยะหลังจะลงทุนในอุตสาหกรรมสมัยใหม่เพื่อการส่งออกเป็นหลัก
ขณะที่ความมั่นใจของต่างประเทศในปัจจุบัน น่าจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องการปราบแก๊งฟอกเงิน คอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ ซึ่งรัฐบาลไทยยังดูเหมือนไม่ได้เร่งดำเนินการเท่าที่ควร ทั้งที่น่าจะต้องเร่งตรวจเส้นทางการเงินและเร่งยึดทรัพย์แก๊งเหล่านี้ โดยประชาชนจำนวนมากเชื่อกันว่าน่าจะมีผู้มีอิทธิพลในรัฐบาลมีส่วนพัวพันกับอาชญากรรมดังกล่าว ในขณะที่ประเทศอื่นยึดทรัพย์กันไปแล้ว เช่น การยึดทรัพย์ นายเฉิน จื้อ ของปริ้นซ์กรุ๊ปรายเดียว ยึดบิตคอยน์มูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท และน่าจะมีการยึดทรัพย์รายอื่นๆ เพิ่มขึ้น อีกทั้งน่าจะมีการเปิดเผยเครือข่ายผู้ร่วมกระทำผิดมากขึ้น เชื่อว่าหากตรวจอย่างเข้มงวดจะต้องพบหลักฐานการเชื่อมโยงทางการเงินอย่างแน่นอน โดยเฉพาะหากมีการใช้บิตคอยน์ ตามข่าวก็จะมีบล็อกเชนที่ไม่สามารถปฏิเสธหรือแก้ไขได้ตามที่มีการเปิดเผยกันแล้ว อีกทั้งสหรัฐอเมริกาเองที่มีลิสต์รายชื่อผู้ร่วมกระทำผิดอยู่แล้ว น่าจะยินดีรีบตรวจสอบให้เลย
นอกจากนี้ นายพิชัย ยังกล่าวกรณีตามที่มีข่าวว่ามีการนำเงินจำนวนมากเข้ามาซื้อหุ้นลอตใหญ่ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ของไทยจำนวนเป็นพันๆ ล้านบาท ก็น่าจะต้องอายัดทรัพย์ได้ทันที และให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เร่งตรวจสอบเส้นทางการเงิน ซึ่งหากทำช้าหรือไม่ทำโดยปล่อยให้ต่างประเทศเปิดเผยก่อน ประเทศไทยอาจเสียชื่อเสียงอย่างมากได้ว่ารัฐบาลไม่ปราบสแกมเมอร์อย่างจริงจัง เพราะห่วงว่าจะต้องมีการลาออกของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพิ่ม ซึ่งจะทำให้ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลและประเทศไทยจะลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อการค้าการลงทุนและการส่งออก
อย่างไรก็ตาม กว่าประเทศไทยจะกลับมาขยายการส่งออกใน 12 เดือนได้สูงกว่า 13% และมีการลงทุนเข้ามาถึง 1.14 ล้านล้านบาท และการลงทุนยังขยายเพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะการลงทุนในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ต้องมาจากการสร้างความมั่นใจจากต่างประเทศให้กลับมา ซึ่งเป็นผลงานของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่เห็นได้ชัดและจับต้องได้ ซึ่งหากระดับการขยายตัวของการลงทุนและการส่งออกยังเป็นแบบนี้ต่อไปอีกไม่กี่ปี เศรษฐกิจไทยที่ซบเซามาเป็นสิบปีจะกลับมาฟื้นได้ และประเทศไทยจะสามารถกลับไปแข่งขันกับประเทศเวียดนามได้อีกครั้ง เพราะที่เวียดนามแซงไทยได้ก็เพราะการลงทุนและการส่งออกที่ขยายตัวมากมาตลอดหลายปีที่เศรษฐกิจไทยย่ำแย่
ในช่วงท้าย นายพิชัย ยังได้ระบุด้วยว่า รัฐบาลจะต้องชี้แจงเรื่องแร่หายาก (Rare Earth) ที่ประเทศไทยไปทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ ที่มาเลเซีย ให้กับประชาชนได้เข้าใจอย่างชัดเจน หากเป็นไปได้น่าจะสามารถต่อรองเจรจาให้ลดภาษี Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ ลงมาได้ก็จะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยอย่างมาก.