รมว.พาณิชย์ แจง MOU แรร์เอิร์ธ ไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมาย หรือข้อตกลงที่ต้องร่วมลงทุน สามารถยกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ ส่วนกรอบเจรจาการค้าสหรัฐฯ ต้องจบในสิ้นปี
วันที่ 27 ตุลาคม 2568 นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์พิเศษทีม SEE TRUE ไทยรัฐทีวี ซึ่งเกาะติดรายงานการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 47 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เกี่ยวกับประเด็นที่ไทยได้ร่วมลงนาม MOU ความร่วมมือแร่หายากของโลก หรือแรร์เอิร์ธ กับสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาว่า MOU นี้ทำโดยกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งได้รับความเห็นชอบจาก ครม. และกระทรวงอุตสาหกรรม
เนื้อหาใน MOU ไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมาย และไม่มีข้อผูกพันที่ต้องร่วมลงทุนใดๆ แต่ว่าเป็นการร่วมมือกันมากกว่า ทั้งร่วมมือในการศึกษาห่วงโซ่อุปสงค์อุปทาน แลกเปลี่ยนความสามารถในเรื่องของเทคโนโลยี อีกทั้งฝั่งใดฝั่งหนึ่งจะยกเลิก MOU เมื่อไหร่ก็ได้ เพราะฉะนั้นเป็นแค่ความร่วมมือที่สหรัฐฯ คงอยากที่จะประกาศความร่วมมือกับไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่เซ็น MOU มีทั้งหมดประมาณ 9 ประเทศ มาเลเซียก็เซ็น และสหรัฐฯ คงเซ็นต่อกับญี่ปุ่น แต่ว่าในแต่ละประเทศที่เซ็น ข้อผูกพันอาจจะไม่เหมือนกัน และยืนยันของไทย ไม่มีเนื้อหาอะไรที่เป็นผูกพันทางกฎหมาย
ส่วนกรณีเซ็น MOU แล้ว มีความกังวลไหมว่าประเทศจีนจะรู้สึกไม่ดี จริงๆ แล้ว MOU นี้ ไม่มีข้อผูกพัน เป็นแค่ความร่วมมือในการที่จะศึกษาเรื่องนี้ ต่อเนื่อง ซึ่งประเทศไทยเองก็ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้เป็นหลัก โดยก่อนหน้าที่จะมาประชุมอาเซียน ได้พบกับเอกอัครราชทูตจีน ซึ่งก็บอกว่าประเทศจีนกำลังจะออกมาตรการที่เข้มงวดขึ้น ในเรื่องของแรร์เอิร์ธ เพราะสามารถนำไปใช้ประกอบทางการทหารได้ด้วย ซึ่งประเทศไทยทำในเรื่องเชิงพาณิชย์ก็ไม่ต้องกังวล จีนส่งมาให้ได้ตามปกติ แต่เรื่องที่เกี่ยวกับทางการทหาร ต้องมีความเข้มข้นมากขึ้น ก็ฝากให้ช่วยอธิบายกับเอกชนว่า จะมีมาตรการเรื่องนี้ออกมา
...
“ประเทศเราเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาทั้งสหรัฐฯ และจีน ประเทศจีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย ทั้งส่งออกและนำเข้า ส่วนสหรัฐฯ เป็นประเทศที่เราส่งออกเป็นอันดับ 1 เพราะฉะนั้นสำคัญทั้งคู่ ไทยก็ต้องอยู่ในสิ่งที่ทำให้เกิดความสมดุล เมื่อวานที่นายกรัฐมนตรีลงนามใน MOU เป็นเรื่องต้องการให้เขาเห็นว่า ความร่วมมือกับเขา แต่ในขณะเดียวกันทางคณะรัฐมนตรีและกฤษฎีกา ก็ได้มีการดูแลอย่างดีว่า สิ่งที่เซ็นไม่ได้มีข้อผูกมัดทางกฎหมาย ดังนั้นสามารถที่จะยกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ได้ผูกมัดในเรื่องที่ต้องลงทุนอะไรด้วยกัน”
นางศุภจี ยังกล่าวถึงการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ว่าเป็นไปด้วยความคืบหน้าอย่างดี รัฐบาลที่แล้วได้ตกลงที่กรอบภาษี 19% แต่จะมีรายละเอียดที่บอกว่าอะไรที่ต้อง 19% อะไรที่เป็น 0% ซึ่งตอนนี้มีภาคผนวกเพิ่มเข้ามาอีก และมีมาตรา 232 ขึ้นมาอีกหลายอุตสาหกรรม ก็เป็นช่วงจังหวะที่กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จะต้องไปเจรจาให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ
“Joint Statement (แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยกรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา) ที่ออกเมื่อวานนี้ ก็เป็น Joint Statement ที่ไม่ได้มีข้อผูกพันทางกฎหมาย เป็นแค่กรอบที่บอกว่าทั้ง 2 ประเทศจะตกลงกันในรายละเอียดให้จบ ภายในสิ้นปี ที่ไม่จบไปเลย เพราะมันเร็วเกินไป อาจทำให้เราสูญเสียในสิ่งที่เราไม่อยากให้ ดังนั้นจะต้องมั่นใจว่าสิ่งที่ตกลง ทำให้มีประโยชน์สูงสุดกับประเทศ ต้องเจรจาให้ได้แบบนั้น”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวอีกว่า ในเรื่องของการเจรจาปัจจุบันไทยมี FTA 14 ฉบับ กับ 18 ประเทศ สิ่งที่ไปตกลงกับประเทศอื่นๆ ในเรื่องอัตราภาษี ก็เอาอันนี้เป็นลิสต์ที่เอาไปให้สหรัฐฯ เหมือนกัน เพราะว่าการค้าจะได้อยู่ในระนาบเดียวกัน ก็ไม่ได้เสียประโยชน์อะไร จะเหลือแค่รายการไม่มากนัก ที่เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังและใช้เวลาในการเจรจา แต่จะต้องพยายามจบในกรอบสิ้นปีนี้