“นายกฯ อนุทิน” ขอกำลังใจก่อนลงนามปฏิญญาไทย-กัมพูชา 4 ข้อ ขอให้มั่นใจไม่มีข้อไหนทำประเทศเสียเปรียบ เชื่อมีชัย ย้ำไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด ยืนยันไม่จริง ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 แล้ว


วันที่ 26 ตุลาคม 2568 เมื่อเวลา 07.40 น. (ตามเวลาท้องถิ่นมาเลเซีย เร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไลฟ์สดผ่านเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว จากประเทศมาเลเซีย ก่อนลงนามปฏิญญาไทย-กัมพูชา เพื่อแก้ปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า วันนี้จะมีสิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งน่าจะเป็นผลดีกับประเทศไทย คือเราจะมีการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ที่ประเทศมาเลเซีย และในช่วงสายก็จะมีการลงนามในปฏิญญาหาแนวทางในการเจรจา และปฏิบัติเพื่อนำไปสู่สันติภาพของประเทศไทยและกัมพูชา

ส่วนกรณีมีความห่วงกังวลว่าการเจรจาของพวกตนนั้นจะทำให้ไทยเสียเปรียบหรือไม่ จึงตัดสินใจมาพบกับทุกท่านในวันนี้ด้วยการไลฟ์เฟซบุ๊กเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า ในปฏิญญาที่เราจะลงนามในวันนี้กับทางรัฐบาลกัมพูชา ไม่มีข้อไหนที่ทำให้ไทยเสียเปรียบแม้แต่ข้อเดียว ปฏิญญานี้ไม่ใช่สนธิสัญญา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไปขอการรับรองจากรัฐสภา แต่ได้รับการรับรองจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยมีหัวข้อหลัก 4 ข้อใหญ่ๆ ที่ทางรัฐบาลกัมพูชาจะต้องดำเนินการ ซึ่งตนก็เคยให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวไปหลายครั้งแล้วว่าทั้ง 4 ข้อ คือ 1. การถอนอาวุธหนักออกจากแนวชายแดน 2. เก็บกู้วัตถุระเบิด 3. การร่วมมือกันปราบปรามอาชญากรรมสแกมเมอร์หรืออาชญากรรมทางเทคโนโลยี และ 4. การหาแนวทางในการบริหารพื้นที่ทับซ้อนร่วมกันไม่เกิดปัญหา ซึ่งทั้ง 4 ข้อ พี่น้องประชาชนจะเห็นได้เลยว่าจะต้องมีการเริ่มจากทางฝั่งกัมพูชาก่อน เมื่อเขาเริ่มแล้วเราถึงจะมาประเมินและดำเนินการต่อไปในเรื่องของการทำให้เกิดสันติภาพในความสัมพันธ์ของประเทศทั้งสอง

...

“เพราะฉะนั้นยังไม่มีที่ว่า เราจะเปิดด่าน ยังไม่มีนะครับ ที่ว่าเราจะต้องดำเนินการใดๆ ที่บอกว่ายอมเสียดินแดน เดี๋ยวจะเสียดินแดน เดี๋ยวจะสร้างรั้ว เดี๋ยวจะใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ตอนนี้ประเทศไทยไม่อยู่ภายใต้เงื่อนไขตรงนี้เลย ปฏิญญานี้ก็คือสิ่งที่จะนำไปสู่การปฏิบัติของทั้ง 2 ประเทศ ที่จะทำให้เกิดสันติภาพ เกิดความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนของทั้ง 2 ประเทศ และความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศ”


นายกรัฐมนตรี เผยต่อไปว่า เราไม่ต้องการเป็นศัตรูกับใครเลยแม้แต่คนเดียว เรารักสงบอยู่แล้ว ในเพลงชาติก็บอกไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด สิ่งที่ประเทศไทยได้ปฏิบัติมาโดยตลอด ตั้งแต่เรามีปัญหาด้านความสัมพันธ์กับประเทศกัมพูชา เราก็ยังยึดมั่นอยู่ในกรอบนี้ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบเราไม่เคยขลาด เพราะฉะนั้นก็ขอให้พี่น้องประชาชนได้ให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลไทย ทั้งกองทัพไทย ทั้งข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ เราทำงานอย่างหนักกว่าจะมาถึงจุดนี้ ก็ขอให้ท่านมั่นใจอีกครั้งหนึ่ง

ทั้งนี้ ตนไม่ทราบว่าจะพูดได้อย่างไร แต่ตนมีประสบการณ์ในการเจรจามาตั้งแต่ใช้ชีวิตอยู่ทางด้านภาคเอกชน ยังไม่มีความรู้สึกแม้แต่น้อยว่าในปฏิญญาที่เราจะลงนามในวันนี้กับทางประเทศกัมพูชา โดยมีนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ร่วมเป็นสักขีพยานด้วย เรายังไม่เห็นจุดใดที่จะทำให้ประเทศไทยของเราเสียเปรียบ ตนไม่ได้มองในเรื่องการเสียเปรียบได้เปรียบ แต่ตนมองในเรื่องของความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน การที่จะทำให้ไทยรักษาเกียรติภูมิ รักษาอธิปไตย และรักษาดินแดนของเราไว้ได้ทุกอย่าง

การที่จะต้องไปตกลงในเรื่องเขตแดนต่างๆ ที่มีคนบอกว่าเรายอมแผนที่ 1 ต่อ 200,000 แล้ว ไม่เป็นความจริง เราไม่เคยยอมในแผนที่ 1 ต่อ 200,000 แต่ตอนนี้มีเทคโนโลยีขึ้นมาที่เรียกว่า LIDAR เมื่อนำไปสู่การเจรจาเรื่องการปักปันเขตแดนให้ครบ ก็จะใช้เทคโนโลยีนี้มาช่วย ซึ่งแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ก็จะหมดไปโดยปริยาย เราจะใช้การเจรจาโดยหลักของความเป็นจริง โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ให้มากที่สุด ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายก็ตกลงตามนี้

“ก็ขอกำลังใจครับเพราะเดี๋ยวอีกไม่กี่ชั่วโมง จะได้ลงนามในปฏิญญานี้แล้ว ขอย้ำไม่ใช่สัญญาสงบศึก ไม่ใช่ Peace Agreement เป็น Joint Declaration หรือที่เรียกว่าแนวทางที่จะดำเนินไปสู่การสร้างสันติภาพในดินแดนของทั้ง 2 ประเทศ ขอให้ความมั่นใจอีกครั้งว่าพวกเราทุกคนทำงานอย่างเต็มที่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ไม่ใช่เป็นการตกลงกันเพียง 1-2 วัน มีการประชุมหาข้อตกลงกันมาระยะหนึ่งแล้ว บางครั้งก็ล้มเหลว บางครั้งก็สำเร็จกันในที่สุด ผมเชื่อว่าด้วยการยึดมั่นในหลักแห่งความถูกต้องของประเทศไทยเราจึงสามารถทำให้คู่กรณียอมรับในเงื่อนไขในสิ่งที่เราได้เสนอไปทุกข้อ”

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ขอกราบเรียนรายงานพี่น้องประชาชนแต่เพียงเท่านี้ เมื่อการดำเนินการลงนามในปฏิญญาเกิดขึ้น แล้วทางผู้สื่อข่าวจะมีการรายงานให้พี่น้องประชาชนได้ทราบต่อไป หากมีอะไรที่มีความสำคัญมีความจำเป็น ก็ขออนุญาตมาพบกับท่านอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อลงนามเรียบร้อยแล้วก็จะรีบเดินทางกลับสู่ประเทศไทยเพื่อไปร่วมในพระราชพิธีพระบรมศพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ร่วมกับพี่น้องชาวไทยทุกคน ตนมั่นใจว่าเราจะต้องมีชัย และจะทำให้ดีที่สุดเพื่อประเทศไทยอันเป็นที่รักของเราและพี่น้องประชาชน ซึ่งตนถือเสมือนเป็นผู้บังคับบัญชา เป็นเจ้านายของตน ตลอดเวลา ขอบคุณมากครับแล้วมาพบกัน.