“มาริษ” ชี้ ภัยสแกมเมอร์เป็นสงครามมวลมนุษยชาติ แนะรัฐบาลปรับใช้โมเดลปราบแก๊งคอลฯ ในเมียนมาของรัฐบาลเพื่อไทยกับกัมพูชา ใช้การทูตดึงพลังมหาอำนาจ-UN ร่วมแก้ปัญหา


วันที่ 25 ตุลาคม 2568 นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีแรงงานต่างชาติหลายประเทศ ถูกหลอกกว่า 1,000 คน หลบหนีจากพื้นที่ชายแดนเมียนมาเข้ามาในพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก หลังกองทัพเมียนมาได้บุกทลาย “เคเคพาร์ค” ว่า เป็นศูนย์ปฏิบัติการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ ซึ่งพบว่ามีการใช้อุปกรณ์สตาร์ลิงก์ในศูนย์ปฏิบัติการเหล่านี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เห็นได้ว่ามาตรการปราบปรามสแกมเมอร์ที่เข้มงวดของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เริ่มหย่อนสมรรถภาพลงเรื่อยๆ

ทั้งนี้ หลัง นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปราบปรามสแกมเมอร์อย่างเด็ดขาดด้วยนโยบาย 3 ตัดแล้ว มีแรงงานหลากหลายประเทศที่ถูกหลอกเข้าไปทำงานในเมียนมา หลบหนีข้ามพรมแดนเข้ามาในฝั่งไทยหลายพันคน ตนเองจึงได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยในทันที และร่วมกับนายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และเชิญ “กงอัน” หรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน มาร่วมประชุมเพื่อคัดกรองแรงงานชาวจีนและเร่งส่งกลับ

รวมถึงตนเองยังได้ตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจขึ้นที่กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อลงไปปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดนร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ ประสานกับสถานทูตตามหลักมนุษยธรรม จนสามารถช่วยแรงงานต่างชาติให้เดินทางกลับมาตุภูมิได้โดยปลอดภัย ดังนั้น ตนอยากเห็นรัฐบาลเร่งจัดตั้งทีมเฉพาะกิจประสานงานกับประเทศต่างๆ เพื่อช่วยเหลือแรงงานชาติต่างๆ ที่ถูกหลอกเข้าไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมา โดยใช้แบบแผนการทำงานที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ได้ดำเนินการไว้ และประสบความสำเร็จในการช่วยเหลือแรงงานต่างชาติที่ถูกหลอกเข้าไปทำงานในเมียนมา จนได้รับความชื่นชมไปจากทุกภูมิภาค

...

ขณะเดียวกัน นายมาริษ ยังย้ำถึงปัญหาสแกมเมอร์ว่า ถือเป็นสงครามมวลมนุษยชาติของประชาคมโลก ฉะนั้น ในขณะที่มีประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่มาเลเซีย รัฐบาลควรจะมองเห็นและมีบทบาทนำในการดึงความร่วมมือกับนานาประเทศที่ประสบปัญหาการถูกโกงจากสแกมเมอร์ รวมทั้งจะต้องส่งเสริมความร่วมมืออย่างเข้มแข็งกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญของสหประชาชาติ ที่พยายามแก้ไขปัญหาเรื่องสแกมเมอร์ ให้หมดไปจากประชาคม 

ที่ผ่านมารัฐบาลพรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของนางสาวแพรทองธาร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการอย่างเข้มงวด มีจุดยืนที่ชัดเจน ในการร่วมมือกับนานาประเทศ และเข้าร่วมในกรอบความร่วมมือทั้งหลายขององค์การสหประชาชาติ และอาเซียนทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศว่า เส้นทางการขนส่งเม็ดเงิน และได้ออกมาตรการต่างๆ มารองรับ เช่น ให้กระทรวงการคลังดำเนินการแก้ไขปัญหา ร่วมกับธนาคารต่างๆ เพื่อที่จะอายัดบัญชีเงินของนักธุรกิจที่ทำผิดกฎหมาย หรือจะนำไปใช้เป็นทุนในการสร้างธุรกิจสีเทา รวมทั้งมีการร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ภายในประเทศ ที่มีมาตรการต่างๆ ในการเข้าไปปิดบัญชีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา

นายมาริษ ยังยกตัวอย่างสิ่งที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำไว้ ซึ่งในปัจจุบันยังไม่เห็นการดำเนินการหรือการต่อยอดจากสิ่งที่รัฐบาลได้ทำในอดีต คือ กระทรวงต่างประเทศ โดยตนและรัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้ริเริ่ม การประชุมหารือครั้งสำคัญ 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นการประชุม 3 ฝ่าย โดยมีไทย เมียนมา และอินเดีย ส่วนครั้งที่ 2 เป็นการประชุม 4 ฝ่าย โดยมีไทย จีน ลาว และเมียนมา ซึ่งวัตถุประสงค์ของการประชุม 2 ครั้งที่ผ่านมาต้องการที่จะผลักดันให้เกิดผลลัพธ์ 2 ประการ คือ ความพยายามที่จะเข้าไปแก้ปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ในประเทศเมียนมา เปลี่ยนความขัดแย้งให้เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศ และความต้องการที่จะแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ข้ามพรมแดน

โดยเฉพาะเรื่องสแกมเมอร์ ทั้ง 2 เรื่องนี้ เป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งสามารถแก้ปัญหา 2 อย่างได้โดยใช้มาตรการ-กลยุทธ์เพียงอันเดียว ซึ่งหลังจากที่ไทยได้มีมาตรการในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติในฝั่งประเทศเมียนมาอย่างรุนแรง จึงเป็นเรื่องปกติที่กลุ่มธุรกิจสีเทาจะหาทางออกโดยการย้ายฐานเข้าไปในฝั่งกัมพูชา ดังนั้น หากรัฐบาลปัจจุบันยังไม่ได้มีการดำเนินการสานต่อ หรือยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในการต่อยอดจากสิ่งที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้ทำไว้ ก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยสัมฤทธิ์ผลอย่างเป็นรูปธรรมสูญเสียไป และเรื่องดังกล่าวทั้งหมด ควรจะเป็นสิ่งที่รัฐบาลปัจจุบันต้องต่อยอด เพื่อรักษาโมเมนตัมของการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาค ซึ่งไทยสามารถให้ประเทศเพื่อนบ้าน และมหาอำนาจในการเข้ามาช่วยกดดัน

นายมาริษ ยังย้ำด้วยว่า ที่ผ่านมารัฐบาลพรรคเพื่อไทยร่วมกับจีน และได้มีการประชุมแบบลงรายละเอียดในการแก้ไขปัญหา มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล เส้นทางการเงินของการทำธุรกิจสีเทา ซึ่งในท้ายที่สุดรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ได้รับคำชื่นชมจากนานาประเทศว่าได้มีการดำเนินนโยบายที่เข้มงวดในการแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์ ผ่านนโยบาย 3 ตัด ซึ่งทั้งเมียนมา และรัฐบาลจีนเอง ก็ได้ให้ความร่วมมือจนนำไปซึ่งการแก้ไขปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ส่วนการแก้ไขปัญหากัมพูชานั้น นายมาริษ ระบุว่า ช่วงที่ผ่านมาไทย-กัมพูชามีปัญหาการกระทบกระทั่งกันบริเวณชายแดน ซึ่งทำให้เห็นชัดว่ากัมพูชาไม่มีความจริงใจที่จะแก้ปัญหาร่วมกันกับไทยในการปราบปรามสแกมเมอร์ หรืออาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมีความตั้งใจว่า จะใช้กลไกเช่นเดียวกันในการประชุม 3 ฝ่าย ซึ่งจะมีไทย จีน และกัมพูชา ที่ไทยเคยทำสำเร็จมาแล้วในฝั่งของประเทศเมียนมา แต่ด้วยเหตุการณ์การกระทบกระทั่งกันจึงทำให้เรื่องเหล่านี้มีความล่าช้าออกไป แต่ในช่วงที่ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็ได้หารือกับประเทศจีน รวมทั้งได้หารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ในการสร้างความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา

ในช่วงท้าย นายมาริษ ระบุอีกว่า ที่ผ่านมารัฐบาลพรรคเพื่อไทยดำเนินการไว้ ทั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการต่างประเทศ แต่โจทย์วันนี้ไม่ใช่เรื่องของการมีนโยบาย แต่เป็นเรื่องของการนำนโยบายไปปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ให้ประเทศไทยมีบทบาทนำในการปราบปรามสแกมเมอร์ในภูมิภาค โดยเฉพาะในอาเซียนและอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง.