“ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” แนะ “นายกฯ อนุทิน” ใช้โอกาสทองช่วงร่วมประชุมอาเซียนซัมมิท ที่มาเลเซีย ให้ทีมไทยแลนด์เป็นตัวตั้งตัวตี ปราบสแกมเมอร์-ทุนเทา สร้างบทบาทนำ เพิ่มพลังต่อรองของไทยในเวทีโลก


วันที่ 24 ตุลาคม 2568 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงปัญหาสแกมเมอร์และทุนเทา ว่า ประเทศไทยจะต้องเป็นตัวตั้งตัวตีปราบสแกมเมอร์-ทุนเทา ในเวทีอาเซียนซัมมิท ปัญหาที่กระทบต่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศไทยมากที่สุดตอนนี้ คือกรณีสแกมเมอร์และเครือข่ายฟอกเงินเทาที่กำลังเข้าครอบงำประเทศไทย ปัญหานี้ไม่สามารถแก้ไขได้โดยกลไกภายในของไทย เพราะมีสภาพการกระทำผิด และการไหลเวียนของเงินครอบคลุมเป็นเครือข่ายระดับข้ามประเทศ


ทีมไทยแลนด์เองก็เพิ่งประสบความสำเร็จ ชนะโหวตในการผลักดันการแก้ปัญหานี้ให้เป็นวาระเร่งด่วน ในเวทีรัฐสภาโลก (IPU) ที่นำโดย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา, นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และนายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม เป็นตัวแทนรัฐสภาไทยไปร่วมประชุม และจะมีการแถลงรายละเอียดอย่างเป็นทางการในวันที่ 29 ตุลาคมนี้


ดังนั้น โอกาสที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กำลังจะเดินทางไปร่วมประชุมอาเซียนซัมมิท ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ในช่วงวันที่ 26-28 ตุลาคมนี้ จึงเป็นโอกาสทองที่ไทยจะได้ใช้เวทีนี้ จัดการภัยคุกคามสแกมเมอร์


ตนเองจึงมีข้อเสนอว่า ทีมไทยแลนด์ ก็ควรใช้เวทีอาเซียน ริเริ่มบทบาทนำในการดำเนินการเกี่ยวกับการปราบปรามสแกมเมอร์ด้วยวิธีการที่เป็นรูปธรรมดังต่อไปนี้

1. เสนอตัวเป็นเจ้าภาพในการจัดการปัญหาสแกมเมอร์ในภูมิภาค ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนในหลายประเทศทั่วโลก โดยไทยจะตั้ง Special Jointed Taskforce ต้านสแกมเมอร์ ประสานความร่วมมือใน 3 ประเด็น ได้แก่ Information-sharing ขยายผลการสอบเส้นเงิน เพื่ออายัดทรัพย์และป้องปราม การฟอกเงิน, ประสานตำรวจสากลและตำรวจแต่ละประเทศ ขยายผล ดำเนินคดีอาญาต่อผู้เกี่ยวข้อง, ประสานญาติ/ผู้เสียหายในแต่ละประเทศเพื่อช่วยเหลือเยียวยาเหยื่อค้ามนุษย์โดยเร็วและเป็นธรรม

...


2. นอกจากการประสานความร่วมมือกับชาติอาเซียน โดยเฉพาะสิงคโปร์ ซึ่งให้ความสำคัญกับการปราบปรามการฟอกเงิน ไทยยังสามารถใช้เวทีนี้ในการแสดงเจตจำนงว่าต้องการร่วมมือกับสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร เกาหลีใต้ และจีน ในฐานะประเทศที่มีผู้เสียหายจำนวนมาก และเริ่มการสอบสวนกรณีสแกมเมอร์ไปแล้ว โดยอาจเสนอให้มีการใช้กลไก ICRG ของ FATF ในการตรวจติดตามการปรับปรุงมาตรการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินของกัมพูชา และจะได้มั่นใจว่าหากกัมพูชาไม่มีการปรับปรุง จะถูกพิจารณาให้อยู่ในบัญชีสีเทา


3. เสนอยกระดับของกลไกอาเซียนที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพ อาทิ ASEAN Declaration on Combating Cybercrime and Online Scam และ ASEAN Declaration on Transnational Crimes


4. ไทยควรประกาศเจตจำนงมุ่งมั่นว่าจะเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยตั้งเป้าหมายลงสัตยาบัน UN Convention Against Cybercrime 2024 ภายใน 1 ปี


หากเราใช้เวทีอาเซียนในการผลักดันบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางการปราบปรามสแกมเมอร์ได้สำเร็จ จะไม่เพียงเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนคนไทยที่ตกเป็นเหยื่อสแกมเมอร์ แต่ยังสามารถใช้ประเด็นนี้ สร้างบทบาทนำ เพิ่มเกียรติภูมิและพลังต่อรองของไทยในเวทีโลกได้อีกด้วย