ที่ประชุม GBC ไทย-กัมพูชา เห็นพ้อง 4 ข้อ ทำ Action Plan ถอนอาวุธหนัก ตั้งกองกำลังเฉพาะกิจร่วม 2 ประเทศ ปราบขบวนการไซเบอร์สแกม ภายใน 2 สัปดาห์ เตรียมสำรวจแนวหลักเขต หนองจาน-หนองหญ้าแก้ว ปูทาง วางหมุดชั่วคราว
วันที่ 23 ต.ค. 2568 พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นำคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย–กัมพูชา หรือ GBC สมัยพิเศษ ครั้งที่ 2/2568 ระดับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ฝ่ายกัมพูชา นำโดย พล.อ.เตีย เซ็ยฮา รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กัมพูชา ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
โดยมีคณะผู้แทนไทยร่วมประกอบด้วย พล.อ.ธราพงศ์ มะละคำ ปลัดกระทรวงกลาโหม, พล.อ.อุกฤษ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, นายปิยภักดิ์ ศรีเจริญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก, นายบุญช่วย หอมยามเย็น ที่ปรึกษา ด้านความมั่นคงกระทรวงมหาดไทย, นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ, พล.อ.ชิดชนก นุชฉายา เสนาธิการทหาร, พล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก, พล.ร.อ.ธาดาวุธ ทัดพิทักษ์กุล เสนาธิการทหารเรือ, พล.อ.อ.อนุรักษ์ รมณารักษ์ เสนาธิการทหารอากาศ, พล.อ.สุระ สายอุบล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนกลาโหม, พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ท.จุมภฏ นุรักษ์เขต เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร เป็นต้น
...
พล.อ.ณัฐพล แถลงข่าวภายหลังการประชุมและลงนามบันทึกการประชุม ว่า การประชุมวันนี้มีความคืบหน้า โดยฝ่ายไทยได้โน้มน้าวให้ฝ่ายกัมพูชายึดถือ 4 ประเด็นเดิม แต่ลงลึกในรายละเอียดยิ่งขึ้น เพื่อให้หน่วยปฏิบัติในพื้นที่ปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม
ประเด็นแรก การถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ขัดแย้งทั้งสองฝ่าย ได้บรรลุข้อตกลง การจัดทำข้อกำหนดเงื่อนไขของงาน หรือ TOR สำหรับคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน หรือ ASEAN Observer Team - AOT และมีการลงนามของผู้แทนทั้งสองฝ่ายเรียบร้อยแล้ว โดยคณะ AOT จะมีหน้าที่สังเกตความคืบหน้าการถอนอาวุธหนักของแต่ละฝ่าย และกำหนดกรอบเวลา เป้าหมายถอนอาวุธไว้เรียบร้อยแล้ว
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องในแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ที่จัดทำร่วมกัน โดยมอบหมายให้ แม่ทัพภาคที่ 2 และ ผู้บัญชาการภูมิภาคที่ 4 กัมพูชา ขับเคลื่อนแผนไปสู่การปฏิบัติ โดยจะหารือขั้นต้น 25 ต.ค.นี้ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้ประชาชนแนวชายแดน
เนื่องจากอาวุธกัมพูชาส่วนใหญ่ เช่น BM21 เป็นอาวุธที่มีอำนาจการทำลายเป็นวงกว้าง ยากแก่การควบคุมตำบลกระสุนตก จึงก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงเป้าหมายที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร เช่น บ้านเรือน ร้านค้า ไร่นา โรงเรียน โรงพยาบาล เป็นต้น
ประเด็นที่สอง เรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ทั้ง 2 ฝ่าย ประสบความสำเร็จในการจัดทำระเบียบปฏิบัติมาตรฐาน หรือ (Standard Operating Procedure - SOP) สำหรับการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดน ทั้งในพื้นที่ที่มีการกำหนดเขตแดนชัดเจนแล้ว และพื้นที่ที่สองฝ่ายยังเห็นไม่ตรงกัน หลังจากนี้ชุดประสานงานของทั้งสองฝ่าย จะสามารถเริ่มปฏิบัติการเก็บกู้ได้ทันที
ซึ่งที่ผ่านมาศูนย์ปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิด TMAC ฝ่ายไทย ไม่สามารถดำเนินการหรือเก็บกู้ได้อย่างเต็มที่เนื่องจากมักถูกขัดขวางจากฝ่ายกัมพูชาหลายครั้ง เมื่อเราเข้าไปใกล้พื้นที่ชายแดน
แต่ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายกัมพูชายอมที่จะนำประเด็นการเก็บกู้ทุ่นระเบิดมาพูดคุยในรายละเอียดอย่างจริงจัง ทั้งนี้การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดนเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนและทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ป้องกันชายแดน ซึ่งฝ่ายไทยได้ยืนยันมาตลอดว่าการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเป็นเรื่องสำคัญ ที่ต้องเร่งดำเนินการและไม่นำเรื่องเขตแดนมาเป็นข้อจำกัด
ประเด็นที่สาม การปราบปรามขบวนการไซเบอร์สแกม เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่เราได้ความคืบหน้าจากฝ่ายกัมพูชา โดยหน่วยงานตำรวจทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) เรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้ง “กองกำลังเฉพาะกิจร่วม” ภายใน 2 สัปดาห์ เพื่อเริ่มกวาดล้างแกนนำหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการไซเบอร์สแกมได้ต่อไป ซึ่งต้องยอมรับว่ามีขบวนการบางส่วนเดินทางไปมาทั้งสองประเทศด้วยวิธีต่างๆ
นอกจากนี้ได้ตกลงร่วมกันเกี่ยวกับขั้นตอนที่ชัดเจนในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร หลักฐาน พยาน เหยื่อที่ถูกหลอกลวง และผู้ต้องหา รวมถึงการคุ้มครองพยาน เพื่อทำให้การทำงานของตำรวจรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนทุกคน ส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน และพื้นที่อื่นๆทั่วโลก
ดังนั้นแผนปฏิบัติการที่ร่วมกันจัดทำขึ้นจึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานตำรวจของไทยและกัมพูชา ซึ่งอาจรวมถึงเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของประเทศอื่นๆ ที่มีประชาชนของตนตกเป็นเหยื่อของขบวนการไซเบอร์สแกมด้วย
ประเด็นที่สี่ การจัดการพื้นที่หมู่บ้านชายแดน จ.สระแก้ว ตามข้อมูลข้างต้นในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ JBC นำโดยกระทรวงการต่างประเทศได้มีผลลัพธ์เชิงบวกสำคัญ ที่สามารถทำให้หน่วยในพื้นที่นำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยทั้งสองฝ่ายเห็นชอบที่จัดส่งเจ้าหน้าที่ของตนลงพื้นที่ไปสำรวจแนวเส้นที่แต่ละฝ่ายอ้างสิทธิ์ โดยจะทำการสำรวจร่วมจากหลักเขตที่ 42 ถึง 47 ช่วง บ้านหนองจาน และ บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว
ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายกัมพูชายินยอมร่วมมือกับฝ่ายไทยในการลงพื้นที่เดินสำรวจแนวเส้นอ้างสิทธิ์และวางหมุดชั่วคราวไว้อย่างแน่ชัดด้วยกัน อันจะทำให้แต่ละฝ่ายยอมรับขอบเขตที่เกิดขึ้น ตามผลการสำรวจและจะนำไปสู่การปักปันการถือครองที่ดินของทั้งสองฝ่ายต่อไป ซึ่งการวางหมุดชั่วคราวนี้เป็นเพื่อการสำรวจเท่านั้น และจะไม่กระทบต่อสิทธิ์ของไทยเรื่องเขตแดนทางบก ทางกฎหมายระหว่างประเทศแต่อย่างใด
นอกจากนี้ฝ่ายไทยจะดำเนินการสร้างรั้วชายแดนในบริเวณที่มีความชัดเจนของเส้นเขตแดนแล้ว โดยยืนยันว่ารั้วดังกล่าวอยู่ภายในเขตอธิปไตยของไทยเพื่อประโยชน์ในการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนและป้องกันภัยคุกคามการข้ามแดนระหว่างทั้งสองประเทศ
ฝ่ายไทยขอยืนยันว่าเราต้องการเห็นความคืบหน้าในทุกเรื่องตามที่กล่าวมาแล้ว จึงจะพิจารณายุติความเป็นปรปักษ์ต่อกัน ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาให้แสดงความจริงใจและปฏิบัติตามผลประชุม GBC ในครั้งนี้ เพื่อนำสันติสุขกลับสู่ประชาชนทั้งสองประเทศตลอดจนภูมิภาคอาเซียนในภาพรวม
“ผมขอยืนยันในนามของรัฐบาลและกระทรวงกลาโหม จะพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งอธิปไตยและประโยชน์ของชาติ และประชาชน คำนึงถึงเกียรติภูมิของประเทศไทยเป็นสำคัญ”