ครม. มีมติรับทราบการวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้ทบทวนหลักเกณฑ์ผูกขาดกีดกันผู้ผลิตเบียร์ขนาดกลางและขนาดเล็ก ขีดเส้น 30 วันให้กรมสรรพสามิต ปรับปรุงระเบียบ เปิดทางผลิตเบียร์กระป๋อง


วันที่ 21 ตุลาคม 2568 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติรับทราบการวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีการไม่ออกใบอนุญาตผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์ หลัง ผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผผ.) รายงานว่า บริษัทเอกชน (ผู้ร้องเรียน) ซึ่งเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตจากกรมสรรพสามิตให้ประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมสุราแช่ชนิดเบียร์ ประเภทผลิตและจำหน่าย ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2554 ณ สถานที่ผลิตที่ได้รับอนุญาต โดยมีการกำหนดขอบเขตการผลิตไว้ระหว่าง 100,000 - 1,000,000 ลิตร/ปี และมีเงื่อนไขไม่ให้ดำเนินการบรรจุภาชนะหรือจำหน่ายสุราภายนอกสถานที่ผลิต ต่อมากระทรวงการคลัง (กค.) ได้ออกกฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ. 2565 กำหนดให้โรงงานที่มีลักษณะเหมือนกับโรงงานของผู้ร้องเรียนอยู่ภายใต้กฎกระทรวงฯ ข้อ 16 (1)(ก) ผลิตและจำหน่าย ณ สถานที่ผลิต (ไม่บรรจุภาชนะที่ติดเครื่องหมายเสียภาษี) 

ผู้ประกอบการมั่นใจคุณสมบัติครบ

ซึ่งผู้ร้องเรียนเห็นว่า ตนมีคุณสมบัติและเงื่อนไขตามที่กำหนดไว้ในข้อ 16 (1)(ข) คือผลิตและจำหน่ายนอกสถานที่ผลิต (บรรจุภาชนะที่ติดเครื่องหมายเสียภาษี) ของกฎกระทรวงดังกล่าว จึงได้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์ พร้อมทั้งแสดงหนังสือตอบข้อหารือจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ว่าโรงงานของผู้ร้องเรียนมีกำลังการผลิตเพียง 210,000 ลิตร/ปี และไม่อยู่ในข่ายกิจการที่ต้องจัดทำรายงาน EIA ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ

...

กรมสรรพสามิตไม่อนุญาต

อย่างไรก็ตาม กรมสรรพสามิตมีคำสั่งไม่อนุญาตตามคำขอดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าตามข้อ 16 (1)(ข) แห่งกฎกระทรวงฯ กำหนดให้ผู้ขออนุญาตต้องจัดทำและได้รับความเห็นชอบในรายงาน EIA อย่างเป็นทางการและหนังสือหารือจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่ถือเป็นรายงาน EIA ตามที่กฎหมายกำหนด กรมสรรพสามิตจึงเห็นว่า คำขอรับใบอนุญาตไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงดังกล่าว จึงมีคำสั่งไม่อนุญาต และเมื่อคำอุทธรณ์ของผู้ร้องเรียนไม่ปรากฏพฤติการณ์อันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม กระทรวงการคลังจึงวินิจฉัยยกอุทธรณ์ของผู้ร้องเรียน ต่อมาผู้ร้องเรียนจึงยื่นเรื่องร้องเรียน กค. และกรมสรรพสามิต กรณีไม่พิจารณาออกใบอนุญาตผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์ให้แก่ผู้ร้องเรียนเนื่องจากไม่มีรายงาน EIA

ผผ.ให้ปรับปรุงกฎกระทรวง

โดย ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้แสวงหาข้อเท็จจริงโดยการลงพื้นที่และประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรมสรรพสามิต สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้พิจารณาแล้วมีความเห็นร่วมกันว่า ข้อกำหนดตามข้อ 16 (1) (ข) แห่งกฎกระทรวงฯ ออกตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มีลักษณะที่ทำให้ผู้ประกอบการกิจการผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์ขนาดกลางและขนาดเล็กไม่สามารถได้รับใบอนุญาตผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์ได้ จึงควรปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงดังกล่าวเพื่อเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตเบียร์ของไทยให้มีความเข้มแข็ง มีมาตรฐานที่ดี ลดอุปสรรคและภาระแก่ผู้ผลิตเบียร์ภายในประเทศ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์เบียร์ให้มีความหลากหลายและมีราคาที่เป็นธรรมสำหรับผู้บริโภค โดยอาจกำหนดเงื่อนไขในการขออนุญาตและมาตรการควบคุม กำกับ และดูแลการประกอบกิจการที่แตกต่างกันตามขนาดการผลิต

สั่งทบทวนหลักเกณฑ์กีดกัน

ดังนั้น ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 230 (3) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา 22 (3) และมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 เสนอ ครม. รับทราบกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พร้อมทั้งมีข้อเสนอแนะ เช่น

(1) ให้มีการพิจารณาทบทวนแนวทางการพิจารณากฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ. 2565 ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มาตรา 153 โดยไม่กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อาจเป็นการเลือกปฏิบัติหรือผูกขาดทางเศรษฐกิจโดยไม่เป็นธรรมหรือสร้างภาระเกินสมควร

(2) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำมาตรการสนับสนุนประชาชนฐานรากให้เข้าถึงแหล่งทุนและตลาดอย่างเป็นธรรมเพื่อส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนเบียร์

(3) ให้รัฐบาลแต่งตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน โปร่งใส และเป็นธรรม

ขีดเส้น 30 วันต้องนำเสนอครม.

ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง (กค.) เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติ โดยให้กระทรวงการคลังสรุปผลการพิจารณาและผลการดำเนินการ รวมถึงความเห็นในภาพรวม แล้วส่งให้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป