ประธานรัฐสภานำ สส.- สว.เข้าร่วมประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา ชูวิกฤตปัญหาสแกมเมอร์ เป็นเรื่องใหญ่และเร่งด่วน ให้ที่ประชุมสหภาพรัฐสภาจัดการปัญหาร่วมกัน
วันที่ 20 ต.ค. 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา ครั้งที่ 151 เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว ตามเวลาท้องถิ่น ที่ศูนย์การประชุมนานาชาติเจนีวา หรือ CiCG ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนรัฐสภาไทย ซึ่งมีทั้ง สส. สว. และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุน เข้าร่วมการประชุมกลุ่มภูมิรัฐศาสตร์เอเชีย - แปซิฟิก (Asia-Pacific Group Meeting) โดยที่ประชุมได้มีการพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ การรับรองร่างรายงานการประชุม APG ในโอกาสการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา ครั้งที่ 150 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ประธานรัฐสภาได้มอบหมายให้นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้แทนรัฐสภาไทย นำเสนอระเบียบวาระเร่งด่วน (Emergency Item) โดยมีร่างข้อมติเรื่องประเด็นอาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมไซเบอร์อีกครั้ง โดยย้ำเตือนถึงความสำคัญของปัญหา ผลกระทบต่อทั่วโลกที่จะต้องจำกัด
...
“โรม”ย้ำ ไทยแน่วแน่ลดอาวุธ
โดย สส.รังสิมันต์ โรม จากพรรคประชาชน และประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวตอนหนึ่งว่า ขอยืนยันอีกครั้งถึงความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของไทยต่อการควบคุมอาวุธ การลดอาวุธ และการไม่แพร่ขยายอาวุธ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่อุดมคติที่เลื่อนลอย แต่เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อสันติภาพและความมั่นคงของมนุษย์ในภูมิภาคของเรา
ฟาดระเบิดสร้างบาดแผล
สำหรับประเทศไทย การควบคุมอาวุธไม่ใช่เรื่องของการนับจำนวนอาวุธ แต่เป็นเรื่องของการนับจำนวนชีวิต และการทำให้มั่นใจว่าจะไม่มีชีวิตใดต้องสูญเสียไปโดยไม่จำเป็นจากความประมาทเลินเล่อ ความล่าช้า หรือความเพิกเฉย ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจึงเลือกเดินในเส้นทางที่ยากกว่า นั่นคือการลงมือทำแทนที่จะเป็นเพียงแค่การพูด ในฐานะรัฐภาคีของ อนุสัญญาออตตาวาว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ประเทศไทยได้ใช้เวลานานหลายทศวรรษในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ปนเปื้อนตามแนวชายแดนของเรา เพื่อฟื้นฟูความปลอดภัย สร้างวิถีชีวิตขึ้นมาใหม่ และทวงคืนความหวังให้กับชุมชนที่เคยถูกคุมขังโดยภัยเงียบใต้ผืนดิน
“เราได้เรียนรู้ว่า อาวุธที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังไม่เพียงแต่สร้างบาดแผลให้กับผืนดิน แต่ยังสร้างบาดแผลให้กับมโนธรรมของประชาชาติด้วย สิ่งเหล่านี้ย้ำเตือนเราว่า สันติภาพที่ล่าช้าคือความทุกข์ทรมานที่ยาวนานออกไป” นายรังสิมันต์ กล่าวและว่า
ถามความรับผิดชอบวาง ทุ่นระเบิด
“บางส่วนในภูมิภาคของเรายังคงอยู่ภายใต้เงาของทุ่นระเบิด ไม่เพียงแต่จากอดีตอันไกลโพ้น แต่ยังมาจาก อุปกรณ์ที่เพิ่งถูกวางใหม่ ซึ่งทรยศต่อเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาที่เราทุกคนให้คำมั่นว่าจะยึดถือ ทุ่นระเบิดที่ยังไม่ระเบิดแต่ละลูกเป็นมากกว่าซากสงคราม แต่มันคือคำถามถึงความรับผิดชอบ และทุ่นระเบิดทุกลูกที่ถูกวางใหม่คือการกระทำที่จงใจเพิกเฉยต่อชีวิตมนุษย์”
ซัดทำลายความไว้ใจกัน
สส.จากพรรคประชาชน สรุปว่า ความเป็นจริงเช่นนี้บังคับให้ไทยต้องพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า การไม่ป้องกันและเก็บกู้อาวุธเหล่านี้เป็นอันตรายต่อพลเรือน ทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างเพื่อนบ้าน และบ่อนทำลายโครงสร้างทางศีลธรรมของสันติภาพในภูมิภาคของเราที่สำคัญ ความเข้มแข็งที่แท้จริงไม่ได้วัดกันที่ความสามารถในการสะสมอาวุธ แต่วัดกันที่ความกล้าหาญที่จะลดอาวุธ นั่นก็คือการเลือกความโปร่งใสแทนความลับ และเลือกความรับผิดชอบแทนการปฏิเสธ
ขอให้รักษาคำพูด
สส.รังสิมันต์ ย้ำว่า ประเทศไทยเชื่อว่าสันติภาพไม่สามารถสร้างขึ้นบนข้อแก้ตัว หรือดำรงอยู่ได้ด้วยความเงียบ สันติภาพจะคงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อทุกประเทศเผชิญหน้ากับพันธกรณีของตนอย่างตรงไปตรงมาและรักษาคำพูด
เตรียมลงมติเป็นข้อตกลงร่วมกัน
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและเห็นพ้องต้องกันว่าประเด็นดังกล่าวมีความสำคัญ และนำเสนอต่อที่ประชุมสมัชชาเพื่อให้ลงคะแนนรับรองร่างข้อมติดังกล่าวเป็นระเบียบวาระเร่งด่วนต่อไป นอกจากนี้ คณะผู้แทนรัฐสภาไทยยังได้ดำเนินการหาเสียงสนับสนุนจากคณะผู้แทนประเทศต่าง ๆ จากกลุ่มประเทศเอเชียและแปซิฟิก โดยไทย จีนและกัมพูชาเป็นผู้แทนในคณะกรรมการปรับร่างข้อมติร่วมกัน เพื่อนำเสนอที่ประชุมสมัชชาใหญ่เพื่อลงคะแนนเสียงต่อไป
ย้ำจุดยืนไทยสร้างสันติภาพ
ด้านนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมประชุมว่า จุดยืนของไทยคือสนับสนุนการทำงานของ IPU และเห็นด้วยกับหัวข้อหลักของการประชุมในปีนี้ คือ การสร้างสันติภาพและพิทักษ์รักษามนุษยธรรมในยามวิกฤต เพราะปัจจุบันมีปัญหาในทุกภูมิภาคของโลก ขณะที่ไทยเองก็ประสบปัญหาทั้งเรื่องสันติภาพและมนุษยธรรมกับประเทศเพื่อนบ้านด้วยเช่นกัน
เสนอแก้ปัญหาโดยสันติ
ฉะนั้นไทยจึงถือโอกาสย้ำจุดยืนในเรื่องนี้ต่อ IPU ว่า รัฐสภาไทยและประเทศไทยเราสนับสนุนการสร้างสันติภาพ และเราพร้อมดูแลด้านมนุษยธรรม ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยก็ปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่องโดยตลอด เห็นได้ชัดจากการรับดูแลผู้ลี้ภัยจากปัญหาความขัดแย้งในประเทศเพื่อนบ้านนับแสนๆ คน และยังไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อใด แต่ล่าสุดก็ยังมีปัญหาที่เพิ่งเกิดขึ้นระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านอีก ซึ่งไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย ด้วยเหตุนี้ไทยจึงอยากให้แก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี และมีการเจรจาภายใต้กรอบทวิภาคี เช่น เจบีซี และจีบีซี ซึ่งที่ผ่านมามิตรประเทศในอาเซียน รวมทั้งมาเลเซีย ก็พยายามช่วยให้เกิดการแก้ไขปัญหาตามกรอบที่ควรจะเป็น ซึ่งไทยก็ต้องขอขอบคุณ
เชื่อที่ประชุมหนุนท่าทีไทย
นายวันนอร์ กล่าวด้วยว่า แต่ก็ต้องยอมรับว่า หลายๆ ครั้ง เพื่อนบ้านของเราก็พยายามกระทำการบางอย่างที่ทำให้เกิดความกังวลใจ แต่ไทยก็ย้ำจุดยืนเรื่องการเจรจาและสร้างสันติภาพ เพราะจะทำให้ประชาชนของทั้งสองประเทศได้รับประโยชน์สูงสุด จึงเชื่อว่าที่ประชุมสมัชชา IPU จะสนับสนุนท่าทีของไทยในเรื่องนี้