“อภิสิทธิ์” นำทีม กก.บห.ปชป.ชุดใหม่ สักการะพระแม่ธรณีฯ ก่อนประชุมนัดแรก ทาบกูรูเศรษฐกิจให้คำแนะนำ 28 ต.ค. แนะ “รัฐบาลอนุทิน” แก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาเชิงรุก หวังได้ สส. มากที่สุด
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 20 ตุลาคม 2568 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคชุดใหม่ เข้าสักการะพระแม่ธรณีบีบมวยผม สิ่งศักดิ์สิทธิ์และสัญลักษณ์พรรคหลังจากได้รับตำแหน่ง จากนั้นนายอภิสิทธิ์ พร้อม กก.บห. เข้าร่วมประชุมครั้งแรกหลังรับตำแหน่งเพื่อวางแนวทางการทำงานของพรรค โดยยอมรับว่ามีเวลาน้อยและมีวาระประชุมหลายเรื่อง เนื่องจากใกล้การเลือกตั้งครั้งหน้าแล้ว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวในตอนหนึ่งว่า ตนได้เชิญบุคคลที่มีความรู้ความสามารถมาร่วมงานกับพรรคเพิ่ม โดยท่านที่ตอบรับแล้วคือ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร และ น.ส.จรีพร จารุกรสกุล รองประธานกรรมการกลุ่ม บริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จะมาพูดคุยกับกก.บห.พรรคทุกคน ในวันที่ 28 ตุลาคม 2568 เวลา 09.30 น. ที่พรรค ซึ่งทั้ง 3 ท่านตอบรับแล้ว และตนเชื่อว่ามีอะไรหลายอย่างจะมาบอกกับเราในวันนั้น พูดง่ายๆ ว่าจะเป็นการบ้านที่ดีของพวกเราทุกคน
...
“ที่อยากทำเช่นนี้ เพราะอยากให้สังคมเห็น 2 อย่างคือ 1. ภารกิจสำคัญของพรรคการเมืองทุกวันนี้เราได้ยินน้อยมาก พรรคการเมืองอื่นๆ พูดถึงภาพรวมของประเทศ และมั่นใจว่าพวกเขาจะมาบอกกับเราว่าขณะนี้สถานการณ์ของประเทศจะไปข้างหน้าอย่างไร เราจะได้มีโอกาสรับรู้รับทราบ 2. ในวันนั้นเราไม่ต้องแสดงวิสัยทัศน์ และไม่ต้องบอกว่าเรื่องนี้ทำอยู่แล้ว หรือเรื่องนี้ทราบอยู่แล้ว อยากให้คนเห็นว่านักการเมืองฟังคนเป็น เราอยากได้คนข้างนอกมาสะท้อนให้เห็นความจริง ซึ่งล้วนเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ในฐานะผู้นำทางความคิดของสังคม”
ต่อมาภายหลังประชุม นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้เป็นครั้งแรกที่ กก.บห. ที่ได้รับเลือกเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2568 ได้มาพบปะกันเราต้องรอการรับรองของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก่อนที่จะสามารถทำอะไรที่เป็นทางการได้และปรึกษาหารือกัน เพราะทราบดีว่าเวลาน้อยมาก ส่วนเรื่องหลักวันนี้ที่ได้พูดกันคือนโยบาย เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดของการทำงาน กก.บห.ชุดนี้ คือต้องสร้างความหวังให้กับประชาชนให้ได้ หัวใจหลักของนโยบายเรามีสิ่งที่ดีและความคิดที่ดีมากมาย
แต่วันนี้ประเทศไทยทำไม่ได้ เศรษฐกิจไทยติดลบมานานแล้ว แนวคิดที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตและเชื่อมไปถึงการยกระดับการเกษตรและปรับเศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจสีเขียวลดความเหลื่อมล้ำและการผูกขาดก็จะเป็นเรื่องที่เราผลักดัน โดยพรรคประชาธิปัตย์ได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิมาให้ความคิดในวันที่ 28 ของเดือนนี้ แต่เราตั้งโจทย์ให้กับผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นผู้นำความคิดและผู้ปฏิบัติว่าประเทศไทยต้องการอะไรจากพรรคการเมืองก็จะมาพูดคุยกับคณะกรรมการบริหาร
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า ช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้พูดคุยกับบุคลากรของพรรคและ สส. หลายคนที่ให้การสนับสนุน ได้มาพูดกับตนว่าอาจจะไม่ได้ร่วมงานกันอีกต่อไป ซึ่งก็เข้าใจนักการเมือง เพียงแต่เราพยายามให้ดีที่สุด เมื่อมาตั้งต้นกันใหม่วันนี้ก็พยายามที่จะพูดคุยและรักษาบุคลากรของเราทุกคน แต่ธรรมชาติของการเมืองเมื่อมีการพูดคุยเจรจาอะไรกันก็เข้าใจได้ เพราะตนก็ทำงานการเมือง เข้าใจดีว่าใครไปตกลงอะไรไว้ก็เข้าใจพวกเขา แต่ก็เป็นอุปสรรคเพราะคิดอย่างเดียวว่าจะนำเสนอทางเลือกให้กับประชาชนในเรื่องนโยบายและบุคลากรให้ดีที่สุดภายใต้ข้อจำกัดทางการเมือง
ส่วนการกลับมาครั้งนี้จะเป็นความหวังและทางเลือกให้กับประชาชนหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ระบุ รู้สึกว่าช่วงหลังนักการเมืองอยู่คนละโลกกับประชาชน เพราะข่าวการเมืองเห็นทุกวันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประชาชน จึงต้องการทำการเมืองให้เป็นการแก้ปัญหาให้กับประชาชนจริงๆ และอยากชวนขอความร่วมมือสื่อมาคุยกันในเรื่องที่เป็นปัญหาของประชาชน ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตจริงๆ ไม่ใช่เรื่องมาเล่นเกมกันต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน
ขณะที่ความมั่นคง มองว่ากองทัพก็ปฏิบัติภารกิจได้ดี ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน การเมืองก็ควรให้การสนับสนุนในการปฏิบัติภารกิจ แต่ปัญหาชายแดนและความมั่นคงแก้โดยกองทัพไม่ได้ ต้องแก้ควบคู่กับเรื่องการทูตและนโยบายการต่างประเทศ รวมถึงสร้างความเข้าใจที่ดี สิ่งที่เรากังวลนิดหน่อยคือทิศทางของรัฐบาลขณะนี้จะขาดความชัดเจน เนื่องจากเอาเรื่องของข้อตกลงไปผูกกับการทำประชามติ เรายังอยากเห็นการทำงานในเชิงรุก
ทั้งนี้ วันที่มีภาพตนไปรับประทานอาหารกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย วันนั้นก็ฝากให้ว่าให้ระมัดระวังกัมพูชา ใช้ทุกเวทีระหว่างประเทศเรา อย่าตั้งรับอย่างเดียว ต้องทำเชิงรุกมากขึ้น ที่ผ่านมาจะเห็นว่ากัมพูชามีรูปแบบการรุกทางการต่างประเทศมาก รัฐมนตรีต่างประเทศต้องไปแก้ไข ในช่วงการประชุมสหประชาชาติได้ดี แต่เราต้องรู้เท่าทัน และการรุกก็จะทำให้กองทัพทำงานได้ง่ายขึ้น แต่หากตั้งรับอย่างเดียวกองทัพก็จะติดเงื่อนไข และอยากจะเดินหน้าทำให้ประเทศไทยกลับมาทำเรื่องการทูตเชิงรุก เพราะเราตั้งรับมานานด้วยเหตุผลว่าเป็นรัฐบาลรัฐประหารบ้าง อยากจะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์บ้าง แต่ดีที่สุดคือการทำงานเชิงรุก เพราะฐานะประเทศไทยในสายตาของประชาคมโลกเราสามารถจะมีบทบาทได้มากกว่าที่เป็นอยู่
ผู้สื่อข่าวถามต่อ การเอาเรื่อง MOU ไปทำประชามติจะเป็นการโยงกันหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ เผยว่า ข้อตกลงแบบนี้เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายต่อการทำความเข้าใจในเชิงประเด็นและการให้ข้อมูล กลายเป็นว่าเราอยากให้ประชาชนตัดสินใจ แต่กัมพูชาก็จะรู้พร้อมกับเรา เรื่องนี้ถ้ารัฐบาลยืนยันจะเดินหน้า สิ่งหนึ่งที่ต้องทำให้ชัดเจนด้วยคือ ถ้าจะยกเลิก MOU 2 ฉบับโดยการตัดสินของประชาชนหรืออะไรก็แล้วแต่ ทางเลือกคืออะไร ยุทธศาสตร์ที่จะเดินในกรณีที่ไม่มี MOU คืออะไร ซึ่งยังไม่ได้ยินรัฐบาลให้ทางเลือกนี้ แต่ไปโยนให้ประชาชนเป็นคนตัดสินโดยที่ไม่มีทางเลือกให้
ในช่วงท้ายเมื่อถามว่าการเลือกตั้งครั้งหน้ามีตั้งเป้าหรือคาดหวังจะได้ สส. พื้นที่ไหนบ้าง นายอภิสิทธิ์ ตอบว่า ต้องการได้ สส.ให้มากที่สุด ส่วนทิศทางมองไว้ว่าจะสามารถร่วมงานกับขั้วไหนได้หรือไม่นั้น ต้องขอดูการกระทำของแต่ละพรรคก่อน ซึ่งทุกคนก็ทราบดีว่าตนยึดมั่นในอุดมการณ์และสัจจะเป็นเรื่องสำคัญ.