“พริษฐ์ วัชรสินธุ” ชวน นายกฯ ร่วมเรียกร้องให้ สว. ชะลอการตั้ง กกต. ชุดใหม่ เพื่อป้องกันข้อครหาเรื่อง “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ปมคดีฮั้ว สว. ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบจาก กกต.


วันที่ 19 ตุลาคม 2568 นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า ในการอภิปรายคำแถลงนโยบายของรัฐบาลอนุทิน เมื่อวันที่ 30 กันยายน ตนเองได้อภิปรายเสนอแนะให้นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ สว. ที่ถูกกล่าวหาในคดีโกง สว. หยุดใช้อำนาจของตนในการตั้งคนใหม่เข้าไปทำหน้าที่ใน กกต. ในระหว่างที่คดียังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบโดย กกต.


แต่ทางนายกรัฐมนตรียังไม่เคยแสดงท่าทีใดๆต่อประเด็นดังกล่าว โดยในวันพรุ่งนี้ ที่ประชุมวุฒิสภากำลังจะเดินหน้าพิจารณาให้ความเห็นชอบ กกต. อีกจำนวน 2 คน แทนกรรมการที่หมดวาระ หากที่ประชุม สว. ให้ความเห็นชอบกับ 2 คนที่ถูกเสนอชื่อ ก็จะทำให้ กกต. 3 จาก 7 คน เป็นบุคคลที่ได้รับความเห็นชอบโดย สว. ที่กำลังถูกกล่าวหาในคดีโกง สว. (โดยจะมี กกต. อีก 2 คน หมดวาระในช่วงสิ้นปี 2568)


เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า อยากชวนนายกฯ และสังคมร่วมกันจับตาและเรียกร้องให้ สว. ชะลอการพิจารณาให้ความเห็นชอบ กกต. คนใหม่ จนกว่า กกต. จะพิจารณาชี้ขาดหรือสั่งการในคดีดังกล่าวเสร็จตามกระบวนการ (การเรียกร้องให้เฉพาะ สว. 130+ คน ที่ถูกกล่าวหา โหวต “งดออกเสียง” หรือ ไม่ร่วมประชุมในวาระดังกล่าว ไม่เพียงพอ เนื่องจากการให้ความเห็นชอบ กกต. จะต้องอาศัยมติด้วยเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของ สว. ที่มีอยู่ ดังนั้น การ “งดออกเสียง” หรือไม่ร่วมประชุม จะทำให้บุคคลที่ถูกเสนอชื่อถูกปฏิเสธโดยทันที

ส่วน กกต. ดำเนินการตามกระบวนการและกรอบเวลาที่ควรจะเป็น โดยไม่กระทำการใดๆที่ถูกมองว่าเป็นการ “ชะลอ” กระบวนการให้ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น เนื่องจากความล่าช้าอาจถูกมองในแง่ร้ายได้โดยสังคมว่า เป็นการ “ซื้อเวลา” ให้ สว. ที่ถูกกล่าวหา ได้มีโอกาสเห็นชอบ กกต. มาแทนที่กรรมการชุดเดิม ซึ่งรวมกันทั้งหมดมี 5 จาก 7 คน ที่หมดวาระในปี 2568

...


เพื่อแก้ปัญหาในเชิงระบบ ตนเองเห็นว่าโจทย์สำคัญในการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ควรรวมไปถึง การออกแบบกระบวนการในการรับรององค์กรอิสระให้ไม่ผูกขาดกับองค์กรใดองค์กรหนึ่งที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน การคืนสิทธิของประชาชนในการริเริ่มกระบวนการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและองค์กรอิสระ หากปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และการทบทวนวิธีการได้มาของวุฒิสภา (หากยังคงรูปแบบสองสภาไว้อยู่) ให้หลุดออกจากวิธีเลือกกันเองระหว่างผู้สมัคร ที่ซับซ้อนและขาดความยึดโยงกับประชาชน


“แม้ผมเข้าใจดีว่าคดีดังกล่าว ยังคงอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบและยังไม่มีการสรุปว่ามีใครกระทำผิดหรือไม่ แต่ผมเห็นว่าหากสมาชิกวุฒิสภาเลือกที่จะไม่ดำเนินการใดๆที่อาจถูกมองได้ว่าเข้าข่าย “ผลประโยชน์ทับซ้อน” จะย่อมส่งแต่ผลดีต่อความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อความโปร่งใสของกลไกการตรวจสอบและการทำหน้าที่ของสถาบันทางการเมืองในประเทศ”