นายกฯ เผยสั่ง กต. ตรวจสอบข่าวโซเชียล เกาหลีใต้จ่อเปิด 7 ชื่อนักการเมืองไทยเอี่ยวแก๊งสแกมเมอร์กัมพูชา ยันรัฐบาลทำทุกทางปราบ เผยคุย ปธน.เกาหลีใต้ไม่มีเรื่องนี้ เลี่ยงตอบปม บ.ดัง ตั้งในซิโน-ไทย
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 19 ตุลาคม 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ถึงกรณีมีกระแสข่าวในโลกออนไลน์ว่า นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้จะเปิดชื่อนักการเมืองไทย 7 คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งสแกมเมอร์ในประเทศกัมพูชา โดยย้อนถามสื่อว่า รื่องมาจากเพจใช่หรือไม่ ผู้สื่อข่าวจึงตอบว่าใช่ จากนั้นนายกรัฐมนตรีระบุว่า ตนได้ให้กระทรวงการต่างประเทศและทีมงานไปสืบหาข้อเท็จจริงแล้ว แต่ไม่ต้องกังวลอะไร จะมีรายชื่อหรืออะไรมาเราก็ต้องดำเนินการตรวจสอบ และหากมีหลักฐานการกระทำที่ผิดกฎหมาย เราก็ต้องดำเนินคดีอยู่แล้ว ไม่มีข้อยกเว้น
ส่วนกรณีที่เคยต่อสายพูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีเกาหลีใต้ นายอนุทิน กล่าวว่า ท่านไม่ได้พูดเรื่องนี้กับตนเลย ถึงบอกว่าต้องตรวจสอบก่อน เพราะข่าวนี้มาจากเพจออนไลน์ก็ต้องตรวจสอบ ตอนที่ตนหารือกับประธานาธิบดีเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา ท่านก็ไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา แต่หากมีจริงตนก็จะมีโอกาสพบกับท่านในการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่ประเทศเกาหลีใต้ ในอีก 2 สัปดาห์นี้ เมื่อถามต่อ ต้องให้กระทรวงการต่างประเทศตรวจสอบก่อนที่จะมีการพบกับประธานาธิบดีเกาหลีใต้หรือไม่ นายอนุทิน ย้ำว่าสั่งแล้ว เดี๋ยวเอาไลน์ให้ดูว่าสั่งแล้ว ได้ให้สถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงโซล ติดตามข่าวเรื่องนี้
...
สำหรับประเด็นที่ นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธานกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เสนอให้ปลด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรณีให้คณะทำงานเป็นทนายความให้กับ นายเบน สมิธ นั้น นายอนุทิน ระบุว่า ตรงนี้ก็ต้องดูตามสิทธิ การตั้งทนายความ ถ้าตนจะตั้งทนายความมาดูคดีของตน ก็ต้องดูทนายความที่มีความใกล้ชิดกับตน เราก็ต้องเอาคนที่ไว้วางใจและคุยกันรู้เรื่อง ซึ่งจะปลดหรือไม่ปลด มันอยู่ที่รูปคดีอยู่ที่คำพิพากษา และอยู่ที่การกระทำผิด ถามแต่เรื่องงานสิ อย่ามาถามเรื่องชื่อบุคคลแบบนี้ไม่ได้
เมื่อถามอีกว่า มีการเรียกร้องให้รัฐบาลปราบปรามดำเนินการเรื่องสแกมเมอร์เชิงรุก นายกรัฐมนตรี ตอบว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วหลังจากที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาทำงาน ก็มีรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ว่ามีการจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้อง 37 ราย และยังมีการขยายผลต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 1/2568 โดยจะมีการมอบหมายให้แต่ละหน่วยงานว่าจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งเป็นการต่อยอดจากที่เขาได้ทำไว้อยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามต่อไปว่า ตอนนี้หลายประเทศจับมือกันคว่ำบาตรมาตรการทางการเงินกับบริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เรื่องนี้จะมีการนำเข้าที่ประชุมเลยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุกเรื่องอยู่ในนี้หมด สแกมเมอร์ต้องเป็นวาระแห่งภูมิภาคนี้แล้ว หรือวาระของโลกด้วย ประเทศไทยต้องเป็นส่วนหนึ่งและให้ความร่วมมือในการปราบปรามสแกมเมอร์อย่างทุกวิถีทางทุกรูปแบบ
ทางด้านมาตรการที่มีการดำเนินการก่อนหน้านี้ทั้งการตัดไฟฟ้า ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา นายอนุทิน ระบุว่า แล้วเราตัดไหม ไฟฟ้าถูกตัดหรือไม่ ทุกวันนี้ถ้าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เราต้องดำเนินการอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงกรณีที่มีการเปิดเผยข้อมูลว่า บริษัท ปริ้นซ์ฯ ตั้งอยู่ที่อาคารชิโน-ไทย ทาวเวอร์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “เขาตอบแล้วนี่ครับ อย่าถามนำ” ก่อนที่จะเดินออกจากวงสัมภาษณ์ทันที.