พลตรี วินธัย จี้ กัมพูชาทำตามข้อตกลง GBC 4 ข้อ ชี้ หากยื้อเวลายิ่งเสียเปรียบ เหตุจะถูกนานาชาติกดดันต่อเนื่องในประเด็นอาชญากรรมข้ามชาติ ย้ำจุดยืนปล่อยตัวเชลยศึก กัมพูชาต้องร่วมแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
วันที่ 18 ต.ค. 2568 พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ระบุถึงความคืบหน้าของสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ภายหลังจากที่กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 ได้ทำการส่งหนังสือถึงภูมิภาคทหารที่ 4 และ 5 เพื่อเร่งรัดให้ฝ่ายกัมพูชา ดำเนินการตามข้อตกลงสำคัญทั้ง 4 ข้อ ได้แก่ การถอนอาวุธหนัก การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และการบริหารจัดการชายแดนร่วมกัน
โดย พลตรี วินธัย ระบุว่า การส่งหนังสือแจ้งไปยังกัมพูชาเป็นหนึ่งในมาตรการเร่งรัดให้ฝ่ายกัมพูชา พิจารณาดำเนินการอย่างจริงจัง ตามแนวทางข้อตกลงที่ได้เห็นชอบร่วมกันแล้วเมื่อครั้งการประชุม GBC ที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันฝ่ายไทยได้พยายามเดินหน้าขับเคลื่อน เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม แม้จะไม่ได้รับความร่วมมือจากฝ่ายกัมพูชา ทั้งการเก็บกู้ทุ่นระเบิด การสกัดกั้นและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงการแก้ไขปัญหาการรุกล้ำดินแดน
พลตรี วินธัย ย้ำว่า หากฝ่ายกัมพูชาเพิกเฉยหรือไม่จริงจังต่อการแก้ไขปัญหาตามข้อตกลงทั้ง 4 ข้อ จะไม่เป็นผลดีต่อการดำรงความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ และจะส่งผลกระทบให้เกิดแรงกดดันจากนานาชาติในประเด็นอาชญากรรมข้ามชาติที่กัมพูชากำลังเผชิญอยู่
ดังนั้น การเปิดใจยอมรับและปฏิบัติตามข้อตกลง GBC อย่างจริงจัง จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการคลี่คลายข้อพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่อาจเห็นทิศทางของการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน
ทบ. ย้ำจุดยืนการปล่อยตัวเชลยศึก กัมพูชาต้องร่วมแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
...
ส่วนกรณีที่สื่อกัมพูชาเผยแพร่บทสัมภาษณ์ของ นายปรัก โซะคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา เมื่อ 18 ต.ค. 68 โดยระบุว่า “เอกสารว่าด้วยความตกลงสันติภาพระหว่างกัมพูชา–ไทย ซึ่งคาดว่าจะมีการลงนามโดยนายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศ ฝ่ายไทยได้ตกลงที่จะปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18 นาย ทันทีหลังลงนาม โดยมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นพยานในห้วงการประชุมสุดยอดอาเซียนปลายเดือนนี้”
พลตรี วินธัย ได้กล่าวต่อประเด็นดังกล่าวว่า สำหรับการส่งคืนทหารกัมพูชา 18 นาย อาจเป็นข้อเสนอของฝ่ายกัมพูชาในเวทีการประชุมระดับกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นทางการ แต่เชื่อว่าเรื่องดังกล่าวจะมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนนั้น คงต้องพิจารณาจากท่าทีความจริงใจ และสัญญาณความร่วมมือที่ดีในการแก้ปัญหาของกัมพูชา รวมถึงการตอบรับข้อเสนอในประเด็นสำคัญต่าง ๆ ของฝ่ายไทย ในลักษณะที่มีแผนและรายละเอียดสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริงอย่างเป็นรูปธรรม เช่น เรื่องการถอนอาวุธหนักออกจากบริเวณพื้นที่แนวชายแดน และเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อพิสูจน์ถึงความเป็นปรปักษ์ระหว่างกันที่มีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน จนถึงระดับที่จะไม่ส่งผลคุกคามฝ่ายไทยด้วยกำลังทางทหาร ในเรื่องนี้จึงไม่อยากรีบด่วนสรุปไป ณ เวลานี้
ทั้งนี้ การควบคุมตัวเชลยศึกดำเนินไปโดยชอบด้วยกฎหมาย สอดคล้องกับหลักกฎหมายและหลักมนุษยธรรมสากล ซึ่งที่ผ่านมา คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ได้เข้าเยี่ยมเชลยศึกทหารกัมพูชา 18 นาย ในหลายโอกาสแล้ว จึงไม่น่ามีความกังวลใด ๆ สำหรับการปฏิบัติต่อเชลยศึกฯ ของฝ่ายไทย