ด่วนที่สุด “อัยการสูงสุด” ร่อนหนังสือถึง “ทวี สอดส่อง” ตั้งข้อสังเกต 9 ประเด็นร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมผู้บุกรุกป่า ชี้ชัด ส่อขัดรัฐธรรมนูญ ย้ำผิดกฎหมาย กำหนดให้อัยการสั่งไม่ฟ้องคดีเท่ากับแทรกแซงอำนาจตุลาการ ซ้ำมีส่วนระบุให้ลบประวัติอาชญากรรม ยิ่งเป็นกลไกที่มิชอบ เพราะคดียังไม่สิ้นสุด


วันที่ 16 ต.ค. 2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง (พ.ร.บ.)นิรโทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ พ.ศ. ....ที่มี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชาติ เป็นประธาน โดยเป็นการประชุมครั้งที่ 5 ซึ่งมีตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม


ทั้งนี้ เลขาธิการคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้แจ้งให้ผู้เข้าร่วมประชุมทราบว่ามีหนังสืออัยการสูงสุด ด่วนที่สุด ที่ อส 0008 (พก 1)/17324 ลงวันที่ 9 ต.ค. 2568 เรียนประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แจ้งว่ามีข้อสังเกตในการพิจารณาร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ราษฎรเฉพาะกลุ่ม โดยมีรายละเอียดดังนี้


1. ตามร่างนี้ไม่สามารถระบุถึงบุคคลผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินที่จะได้รับการนิรโทษกรรมอย่างชัดเจน ดังนั้นเมื่อไม่สามารถระบุถึงบุคคลที่จะได้รับการนิรโทษกรรมที่แน่นอนไว้ ย่อมอาจไม่สอดคล้องกับเจตนาที่จะนิรโทษกรรมตามหลักของกฎหมาย ทั้งนี้ การบัญญัติกฎหมายไม่ชัดเจนตามมาตรา 5 และมาตรา 6 ดังกล่าวอาจเกิดปัญหาการขัดต่อกฎหมายและอาจเกิดการแทรกแซงและแสวงหาผลประโยชน์ได้


2. ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ เป็นฐานที่จะได้รับสิทธิ์ตามร่างมาตรา 5 ยังไม่มีขอบเขตการกำหนดเชิงพื้นที่ที่ชัดเจน จึงอาจส่งผลกระทบต่อกลไกการบังคับใช้กฎหมาย 3. จากความไม่ชัดเจนตามข้อ 1 ในข้อ 2 จะก่อให้เกิดปัญหาต่อการพิจารณาของคณะกรรมการนิรโทษกรรมจังหวัด อันกระทบต่อประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ และเกิดความเสี่ยงต่อการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการในการวินิจฉัยให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งได้รับสิทธิหรือเสียสิทธิ์

...


4. บทบาทของพนักงานอัยการนั้น พนักงานอัยการมีบทบาทในการบังคับใช้กฎหมาย โดยมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 ซึ่งมีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ดังนั้น ตามร่างที่อ้างถึงมาตรา 14 อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กล่าวคือ การกำหนดให้พนักงานอัยการ ต้องมีคำสั่งไม่ฟ้องเท่านั้น เป็นการจำกัดการใช้ดุลยพินิจของพนักงานอัยการบนพื้นฐานของกฎหมายและพยานหลักฐานในสำนวน


นอกจากนี้ยังอาจส่งผลกระทบต่ออำนาจตุลาการในการพิจารณาพิพากษาคดี ดังนั้นจึงยืนยันความเห็นตามหนังสือสำนักงานอัยการสูงสุด ด่วนที่สุด ที่ อส 007 (พก1)/17567 ลงวันที่ 21 ต.ค. 2567 คือควรพิจารณาให้สอดคล้องกับกฎหมายเกี่ยวกับวิธีพิจารณาความอาญา โดยเฉพาะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39


5. การลบประวัติอาชญากรรมตามร่างมาตรา 15 เป็นกลไกที่กำหนดขึ้นโดยมิชอบ เนื่องจากกระบวนการพิจารณาคดีในชั้นพนักงานอัยการยังไม่เด็ดขาดหรือชั้นพิจารณาของศาลแล้วแต่กรณี ยังไม่สิ้นสุด


6. ตามร่างมาตรา 10 มาตรา 11 และมาตรา 16 การกำหนดให้อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ทำหน้าที่แทนคณะกรรมการนิรโทษกรรมจังหวัดและให้ปลัดกระทรวงยุติธรรมปฏิบัติหน้าที่แทนคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดนั้น เป็นการเปลี่ยนกลไกการพิจารณาจากรูปแบบคณะกรรมการมาเป็นตัวบุคคลโดยตำแหน่ง อีกทั้งไม่มีการกำหนดให้คำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดเป็นที่สุด หรือไม่อาจเกิดกรณีการทบทวนคำสั่ง การกำหนดให้อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพและปลัดกระทรวงยุติธรรมทำหน้าที่แทนคณะกรรมการดังกล่าวเป็นการบัญญัติที่ทำให้การบังคับใช้กฎหมายขาดหลักการตรวจสอบและถ่วงดุล ขาดหลักนิติธรรม จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ


7. การยกเว้นความผิดทางแพ่ง ตามร่างที่อ้างถึงมาตรา 17 อาจส่งผลต่อกระบวนการบังคับคดีที่ยังค้างอยู่จึงจำเป็นต้องพิจารณากลไกในชั้นบังคับคดีด้วย


8. ร่างที่อ้างถึงมาตรา 19 การกำหนดระยะเวลาดำเนินการภายในสองปีนั้นอาจประสบปัญหาไม่อาจดำเนินการได้ทันตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และ 9. ตามร่างที่อ้างถึงมาตรา 20 การล้างมลทิน เป็นคนละประเด็นกับการนิรโทษกรรม เนื่องจากการล้างมลทินไม่ใช่การกำหนดให้การกระทำไม่เป็นความผิด แต่เป็นการกำหนดให้บุคคลที่กระทำความผิดนั้นเสมือนไม่เคยถูกลงโทษมาก่อน ส่วนการนิรโทษกรรมเป็นการกำหนดให้การกระทำนั้นไม่เป็นความผิดต่อไป ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกำหนดเรื่องการมลทินไว้ในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ โดยประธานคณะกรรมาธิการให้รับหนังสืออัยการสูงสุด ไว้เป็นข้อสังเกตในการพิจารณาร่างต่อไป