“สว.อังคณา” ยัน โพสต์แปลเอกสารฝั่งกัมพูชาร้องถึง UN เจตนาดีหวังเตือนสติในเรื่องน่ากังวลใจ หวั่นกระทบสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ชม “กัน จอมพลัง” ช่วยสร้างถนน-บังเกอร์ ย้ำ รักชาติไม่น้อยไปกว่าใคร
วันที่ 13 ตุลาคม 2568 นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวไทยรัฐทีวี ถึงข้อมูลที่มีการโพสต์ผ่านโซเชียลมีเดีย ว่า เป็นการแปลข้อมูลหนังสือที่ทางกัมพูชา ได้มีการเขียนรายงานไปยังองค์การสหประชาชาติ (UN) เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2568 ไปยังข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) โดยมีการจดรายละเอียด ช่วงเวลาที่ได้ยินเครื่องกระจายเสียงในลักษณะของการเปิดเสียงโหยหวนภูตผีผ่านลำโพงขนาดใหญ่ เป็นการจงใจส่งเสียงไปยังชาวบ้านกัมพูชาในพื้นที่ใกล้เคียง โดยมีเจตนาเพื่อรบกวนและข่มขวัญ ซึ่งเสียงเหล่านี้ได้รับความเดือดร้อนต่อการหลับนอน โดยเฉพาะเด็ก สตรี ผู้สูงอายุ และผู้ป่วย รวมถึงผู้พิการ เป็นเรื่องน่ากังวลใจว่าจะถูกตีความเป็นการยั่วยุหรือไม่
นางอังคณา เผยต่อไป ยืนยันเจตนาว่ามีความประสงค์ดี อยากเตือนสติและตักเตือนรัฐบาลให้ตระหนักถึงการกระทำที่ทำให้เกิดความหวาดกลัวหรือส่งผลต่อจิตใจของพลเรือนแม้จะเป็นคู่ขัดแย้งในสงคราม เนื่องจากประเทศไทยมีอนุสัญญาเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนหลายฉบับ และปฏิบัติยึดมั่นในสายตาโลกมาโดยตลอด ส่วนตัวยังคงให้ความสำคัญกับการพูดคุยผ่านทวิภาคี เพราะเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและมีความเปราะบางในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เรื่องส่วนตัวก็ไม่คิดว่าจะมีคนแสดงความคิดเห็นในเชิงอคติเป็นจำนวนมาก ตราหน้าตนว่าไม่ใช่คนไทย เป็นคนหัวใจเขมร ถึงกับจะมีการล่ารายชื่อให้มีการถอดถอนตนเองออกจากวุฒิสภา
...
ส่วนกรณีเปิดเครื่องความถี่สูงในการสลายม็อบการชุมนุม ตนสนับสนุนให้ทำตามกระบวนการ อย่างที่ผ่านมาก็ทำได้ดี เพราะจุดนั้นถือว่าเป็นพื้นที่อธิปไตยของประเทศไทย ซึ่งในทางกลับกันฝั่งกัมพูชาไม่เคยเขียนว่าตัวเองรุกล้ำพื้นที่ของไทย เขียนชูประเด็นในเรื่องของผลกระทบต่อภาคพลเรือนไปยังข้าหลวงใหญ่ฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศไทยต้องให้ความระมัดระวัง โดยเฉพาะพื้นที่ดังกล่าวถูกประกาศให้เป็นกฎอัยการศึก ก็จะเกิดการตั้งคำถามว่าให้เกิดกิจกรรมแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร พร้อมย้ำเจตนาว่าเรียนแจ้งให้ทราบด้วยความห่วงใย เพราะถ้าหากในภายภาคหน้ามีคนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นด้วยความบริสุทธิ์ใจแล้วถูกล่าแม่มดแบบนี้ อีกหน่อยก็คงไม่มีใครกล้าที่จะเตือน กล้าจะพูดแสดงความเห็นต่าง
สำหรับประเด็นเรื่องสังคมตั้งข้อสงสัย กรณีเด็กและเยาวชนไทยถูกทหารกัมพูชายิงระเบิดเสียชีวิตแล้วไม่ออกมาเรียกร้องนั้น ส่วนตัวเห็นว่าทางการทหารก็มีการตอบโต้ด้วยการใช้เครื่องบิน F-16 และกริพเพ่นในการโจมตีแล้ว มีผู้สูญเสียทั้งสองฝ่าย จึงไม่กล้าแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนและอาจจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นอกเสียจากจะเป็นข้อกังวลใจและเป็นความห่วงใยถึงจะมีการโพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเมื่อเข้าสู่กระบวนการเจรจาทวิภาคีแล้ว ตนก็มีความเชื่อมั่นว่าการเจรจาจะเป็นผล เพราะที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศมีการไปแสดงความเห็น ถ้อยแถลงในเวทีโลก ซึ่งประเทศไทยก็ได้รับความชื่นชมอย่างมาก
“การจะขับไล่ชาวกัมพูชาออกจากในพื้นที่อธิปไตยของไทย มันก็มีกระบวนการและวิธีการ ไม่ใช่ว่าจะให้ใครเข้าไปทำอะไรก็ได้ เว้นเสียจากเกิดความรุนแรง แน่นอนว่าเรามีความชอบธรรมในการใช้ยุทธวิธีในการปกป้องพื้นที่ ซึ่งจากการจัดการจากเบาไปหาหนักก็ถือว่าเป็นมาตรฐานสากล”
ทางด้านประเด็นเรื่องทหารไฟเขียวรถขยายเสียงเปิดในพื้นที่ไทยนั้น นางอังคณา มองว่า เปิดเสียงในพื้นที่เราก็จริง แต่ลำโพงหันไปทางบ้านเขา ซึ่งส่วนตัวมองว่าจะไปไล่ส่งๆ ไม่ได้ เพราะในแต่ละประเทศก็มีกฎหมายของตัวเอง ที่สำคัญมีกฎหมายระหว่างประเทศที่ใช้ร่วมกันทั้งโลก จึงอาจจะเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง ถ้าหากว่าในพื้นที่นั้นมีผู้ป่วย มีเด็ก ที่ต้องไปโรงเรียนแต่เช้า ก็อาจจะเข้าข่ายมีความผิดอาญาเช่นกัน และจะส่งผลกระทบระหว่างสองประเทศแน่นอน
“คุณกัน จอมพลัง มีเจตนาชัดเจนว่าตั้งใจจะมาขับไล่ให้ชาวกัมพูชาออกไปจากพื้นที่ ทางคณะวุฒิสภาจึงอยากให้กระทรวงการต่างประเทศมีการตรวจสอบเสียงที่ปล่อยออกไปในช่วงสงคราม ซึ่งมีโต๊ะเจรจาอยู่แล้ว ก็ไม่ควรปล่อยให้ภาคเอกชนเข้าไปดำเนินการ เพราะฉะนั้นพลเรือนทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครอง โดยประเด็นนี้ทางสมาชิกวุฒิสภาได้มีการหยิบยกเรื่องนี้ไปปรึกษาหารือในทางลับอยู่แล้ว รวมไปถึงการตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาในเรื่องของการยกเลิกหรือไม่ยกเลิก MOU 43-44”
นางอังคณา กล่าวต่อไปถึงเรื่องที่ นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง มีการตอบโต้ในลักษณะทวงถามว่า คนพูดไม่ได้ทำ คนทำไม่ได้พูดนั้น ภายหลังจากที่ได้มีการพูดคุยกับทางนายกัน จอมพลัง ผ่านรายการเปิดปากกับภาคภูมิแล้ว ถ้าจะถามว่าใครทำหรือไม่ทำ ต้องบอกว่าในแต่ละคนก็มีหน้าที่ต่างกันออกไป คงไม่สามารถที่จะให้คนทุกคนไปทำด้วยกันทั้งหมด เพราะนายกัน จอมพลัง มีทั้งกำลังพลและทุนทรัพย์ในการที่จะเข้าไปช่วยเหลือสร้างถนน สร้างบังเกอร์ ในส่วนนี้ก็ต้องชื่นชมว่าเป็นการเสียสละอย่างมาก แต่บทบาทของแต่ละคนในการทำหน้าที่ก็ต่างกันออกไป
ในกรณีที่ถูกทัวร์ลง ตนก็รู้สึกงงๆ เหมือนกัน เข้าใจได้ว่าแฟนคลับของนายกัน จอมพลัง และคนไทยทั้งหลายที่มีความรักชาติ และอาจจะเห็นว่าคนที่ออกมาพูดควรที่จะสนับสนุน ไม่ควรที่จะออกมาเห็นต่าง ซึ่งตนก็เห็นฟีดแบ็กกลับมาค่อนข้างก้าวร้าว ด่าว่าและประณามตน แต่ยังคงย้ำว่าสิ่งที่มีการโพสต์ลงโซเชียลเป็นการแปลงข้อความที่กรรมการสิทธิ์ของกัมพูชามีการส่งไปยังข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เป็นสิ่งที่คนไทยจะต้องควรรู้ว่าทางกัมพูชามีการรายงานเรื่องใดบ้าง อะไรที่มันถูกต้องก็สนับสนุนให้ทำต่อและชื่นชม ส่วนอะไรที่ไม่ถูกต้องหรือมีข้อกังวลก็ต้องมีการทบทวน
“ส่วนตัวยืนยันเป็นคนไทย เป็นคนที่รักชาติไม่น้อยไปกว่าใคร หลายคนก็มาให้กำลังใจ แล้วก็มาเตือนว่าจะพูดไปทำไม พูดไปก็ทัวร์ลง ส่วนตัวก็รู้สึกว่าในฐานะที่เราทำงานเป็นนักสิทธิมนุษยชน ก็ไม่สามารถที่จะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้ ในอนาคตถ้าหากจะมาขอคำปรึกษาหรือแนวทางการขับไล่ที่ต้องคำนึงข้อระมัดระวังในเรื่องสิทธิมนุษยชนและสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยมีอนุสัญญาถือไว้ ก็เต็มใจและยินดีที่จะให้แนวทางเพื่อไม่เสียเปรียบในการต่อสู้ทางการทูต”