นายกฯ รู้ผ่านข่าว เชฟไทยเสียชีวิตในกัมพูชา ลั่นความขัดแย้งไม่เป็นประโยชน์ มีข้อตกลงตามกรอบ บอกหากไม่ทำ ไทยจะอยู่ไม่ได้ ก็ลองดู “ตรีนุช” สั่งตรวจสอบ ไม่พบข้อมูลการแจ้งไปทำงานต่างประเทศ
วันที่ 8 ตุลาคม 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ในช่วงหนึ่งถึงกรณีที่เชฟไทยเสียชีวิตที่ประเทศกัมพูชา และมีรายงานว่าถูกปฏิเสธการรักษาจากโรงพยาบาลกัมพูชา ว่า ตนได้เห็นตามหน้าข่าว ซึ่งเป็นไปตามที่ตนเคยบอกไว้ว่าความขัดแย้งไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์เลย และนี่จึงเป็นจุดที่เราต้องยืนยันอย่างชัดเจนว่าเรามีกรอบข้อตกลงที่เคยคุยกันแล้ว ทั้งการประชุม JBC, GBC และ RBC ซึ่งหากทุกคนดำเนินการตามทุกอย่างก็จบ แต่ถ้าหากไม่ทำ จะคิดว่าประเทศไทยจะอยู่ไม่ได้ ก็ลองดู
ผู้สื่อข่าวถามต่อจะเข้าไปช่วยเหลือกรณีชายไทยเสียชีวิตอย่างไร นายอนุทิน ระบุว่า ต้องทำตามที่กฎหมายกำหนด และให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่
ก.แรงงาน ตรวจสอบไม่พบการแจ้งข้อมูลไปทำงานต่างประเทศ
...
ทางด้าน น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณี นายเมธาชาญ ยอแสง หรือ มีน อายุ 24 ปี ชาว อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช เชฟไทยในกัมพูชา นอนป่วยข้างถนน ถูกโรงพยาบาลปฏิเสธการรักษาและต่อมาเสียชีวิต อยู่ระหว่างการนำศพกลับประเทศ ว่า ได้รับรายงานว่าผู้เสียชีวิตไปทำงานเป็นเชฟและป่วยจนเสียชีวิต จึงสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อมูลการเดินทางไปทำงานต่างประเทศเพื่อดำเนินการช่วยเหลือตามสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ แต่ไม่พบการแจ้งไปทำงานและไม่พบว่าเป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ ซึ่งปกติคนไทยที่ไปทำงานต่างประเทศถูกกฎหมายต้องแจ้งกระทรวงแรงงาน และเป็นสมาชิกกองทุน เพราะหากเสียชีวิตจะได้รับเงินช่วยเหลือ โดยผู้เสียชีวิตเคยทำงานในไทยและเป็นผู้ประกันตนได้เพียง 2 เดือน ในปี 2567 ก่อนจะลาออกไป หลังจากนั้นไม่มีข้อมูลแจ้งการทำงานอีกเลย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผยต่อไปว่า ขณะนี้ยังต้องรอข้อมูลที่ชัดเจนจากสถานทูตไทยในกัมพูชารายงานมาอีกครั้ง เนื่องจากไม่มีทูตแรงงานประจำอยู่ที่กัมพูชา แต่ก็ยังติดตามอย่างใกล้ชิด โดยปัจจุบันมีแรงงานไทยที่ไปทำงานอยู่ในกัมพูชาเพียงไม่กี่คนที่มีการแจ้งข้อมูลกระทรวงแรงงาน ส่วนใหญ่ทำอาชีพเกี่ยวกับเชฟ วิศวกร และผู้บริหารสถานประกอบการ หากมีการเสียชีวิตหรือแรงงานต้องการความช่วยเหลือ สามารถแจ้งผ่านสถานทูตไทยในกัมพูชาได้ และจะมีการประสานเรื่องมายังกระทรวงแรงงานอีกครั้ง.