“ปานเทพ” ย้ำจุดยืนหนุนยกเลิก MOU 43 ปกป้องอธิปไตย ลั่น ครม. ทำเองได้ทันที ไม่ต้องเสียเงินทำประชามติ แนะรักษามาตรฐานปิดด่านค้าชายแดนไทย-กัมพูชาต่อ บีบให้เข้าร่วมเจรจากรอบใหม่


เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 8 ตุลาคม 2568 นายปานเทพ พัวพงศ์พันธุ์ ในฐานะประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน กล่าวถึงกรณีรัฐบาลมีแนวคิดจัดการออกเสียงประชามติการยกเลิก MOU 43 ว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) สามารถยกเลิก MOU 43 ได้ โดยอาศัยอนุสัญญาว่าด้วยไทย-ฝรั่งเศส 1969 มาตรา 60 ที่ระบุว่า การยกเลิกสนธิสัญญาจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสามารถกระทำได้ทันทีหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดละเมิดสนธิสัญญาอย่างร้ายแรง โดยไทยต้องแสดงปฏิกิริยาว่าไทยถูกกระทำอย่างร้ายแรงในช่วงที่ผ่านมา เช่น เหตุกัมพูชาใช้อาวุธสงครามโจมตีประเทศไทย

ดังนั้น หากตระหนักว่าเหตุรุนแรงจริง และคนไทยต้องการแสดงออก ก็อาศัยจังหวะใช้มติ ครม. ให้เร็ว ไม่จำเป็นต้องจัดประชามติ ซึ่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 178 ระบุว่า การยกเลิกสนธิสัญญาสามารถกระทำได้โดย ครม. แต่การโยนให้ประชาชนออกเสียงประชามติในวันเลือกตั้ง เท่ากับว่ารัฐบาลไม่ตัดสินใจและโยนภาระให้รัฐบาลใหม่ ซึ่งผลการออกเสียงประชามติก็ไม่ได้มีผลผูกพันการตัดสินใจของรัฐบาล หรือหากรัฐบาลจะเดินหน้าจัดการออกเสียงประชามติ ตนในฐานะที่ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับ MOU 43 ก็จะรณรงค์ให้ดีที่สุดเพื่อให้ยกเลิก MOU 43 เพื่อปกป้องอธิปไตย บีบให้กัมพูชาเข้าสู่การเจรจาในสนธิสัญญาหรือกรอบการเจรจาใหม่ที่เป็นธรรมและทันสมัย

ทางด้านคำถาม หากยกเลิก MOU 43 แล้วจะใช้กลไกใดในการเจรจาระงับข้อพิพาทดินแดนไทย-กัมพูชา นายปานเทพ เผยว่า เขตแดนไทยตกลงเสร็จสิ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 บริเวณช่องบกถึงช่องสะงำ จังหวัดอุบลราชธานี บริเวณขอบหน้าผา ซึ่งไม่มีเขตแดน และใช้หน้าผาเป็นสันปันน้ำ มองด้วยตาเปล่าก็ทราบ และจบไปนานแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่จะมาเปลี่ยนด้วย MOU 43 รวมถึงแผนที่แนบทั้งที่ไม่ควรมีปัญหาใดๆ แล้ว เพราะก่อนปี พ.ศ. 2542 ย้อนกลับไปถึงรัชกาลที่ 5 สยามและกัมพูชาก็สามารถอยู่ได้โดยไม่มี MOU แม้แต่ฉบับเดียว แต่การมี MOU ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา พบว่ากัมพูชารุกล้ำแผ่นดินไทย และใช้แผนที่ 1:200,000 ซึ่งไทยเสียเปรียบ มีการรุกล้ำทุกพื้นที่ตามเขตชายแดนบริเวณสันปันน้ำ

...

นายปานเทพ ยังได้กล่าวถึงข้อห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ ตามที่ระบุใน MOU 43 ว่า ฝ่ายไทยอาจจะใช้วิธีการประท้วง เพราะมีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ซึ่งเป็นการกระทำที่ชัดเจน เจ้าหน้าที่รัฐไม่ให้เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม แต่ฝ่ายกัมพูชากลับใช้พลเรือนนำหน้า และอำพรางด้วยทหารอยู่ด้านหลัง รุกแผ่นดินไทย และอ้างว่าไม่ผิดตาม MOU 43 ข้อ 5 ซึ่งฝ่ายไทยนิ่งเฉย และบางส่วนได้ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ จึงไม่มีคนไทยเข้าไปในพื้นที่ แต่ฝ่ายกัมพูชากลับตัดไม้ทำลายป่าและมีสิ่งปลูกสร้างตามแนวชายแดนไทย และตลอด 25 ปี กัมพูชารุกรานชายแดนไทยตลอด เมื่อไทยใช้กำลังปะทะ กัมพูชาก็จะประท้วงว่าผิดเงื่อนไขข้อ 8 ของ MOU 43 ที่จะต้องเจรจา ปรึกษาหารือด้วยสันติวิธี ซึ่งเป็นกับดัก 2 ชั้นของกัมพูชา ทั้งรุกทางกายภาพ ที่หากไทยไม่ยินยอมก็จะพาไปเวทีโลก เพื่อยึดแผนที่ 1:200,000 ที่กัมพูชาได้เปรียบจากคดีเขาพระวิหาร และมีการระบุไว้ในเอกสารประกอบ MOU 43

หากไทยหลงประเด็นและปล่อยให้กัมพูชารุกล้ำแผ่นดินไทย เพื่อรอการตกลงเขตแดนและกัมพูชาถอยออกไป ก็จะต้องระมัดระวังรัฐธรรมนูญ มาตรา 2 ของกัมพูชาที่ระบุว่า อธิปไตยของกัมพูชาเป็นไปตามแผนที่ 1:100,000 ซึ่งเป็นการทำรายละเอียดจากแผนที่ 1:200,000 เป็นการเสียเวลาเปล่าของการรุกล้ำจากกัมพูชา และหากใช้เวลานับจากนี้สิ่งปลูกสร้างของกัมพูชาจะมากขึ้น รวมถึงอาวุธด้วย ความเสียหายก็จะมากตามมา ดังนั้น โอกาสนี้จึงเหมาะที่จะยกเลิก MOU 43 ที่สุดแล้ว และถอยออกมาเพื่อมาสร้างสิ่งใหม่ให้เข้าใจต่อกัน โดยใช้กลไกคณะกรรมาธิการ JBC ไทย-กัมพูชา

ผู้สื่อข่าวถามต่อ หากไม่มี MOU ฉบับดังกล่าว จะเป็นส่วนทำให้กัมพูชาดึงเรื่องไปศาลโลกหรือไม่ นายปานเทพ ย้อนถามกลับว่า จะดึงเรื่องไปได้อย่างไร ในเมื่อประเทศไทยถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกศาลโลกตั้งแต่ปี 2503 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2504 ซึ่งคดีปราสาทเขาพระวิหารเป็นคดีสุดท้าย เพราะฉะนั้นไม่มีใครลากไทยไปศาลโลก เพราะไม่มี MOU และทั่วโลกก็ไม่มีใครพาไปศาลโลก หากประเทศนั้นไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก ข้อคิดเห็นดังกล่าวที่บอกว่าหากไม่มี MOU แล้วจะพาไทยไปศาลโลก เพราะต้องการให้ไทยกลัวและข่มขู่คนไทยให้ดำรง MOU อยู่ เพราะคนเหล่านั้นต้องการผลประโยชน์ที่อยู่ข้างใน ทั้งการตัดไม้ทำลายป่า ค้าของเถื่อน สร้างบ่อน กาสิโน เพราะทุกคนอยากมีพื้นที่ No man's land ที่มนุษย์ไทยห้ามเข้า แต่คนกัมพูชาเข้ามารุกล้ำแผ่นดินไทยได้

“เชื่อว่าต่อให้ไม่มี MOU ก็ยังมีกรอบการเจรจา เพราะก่อนมี MOU เรามี JBC ทำไมเวลานั้นถึงเจรจาได้ ซึ่งที่กัมพูชาวางทุ่นระเบิด ยิงใส่คนไทย ก็ถือว่าผิด MOU เช่นเดียวกันกับไทยหากสร้างรั้วชายแดนก็ผิด MOU ซึ่งหากเราต้องการสร้างรั้วโดยไม่ต้องละเมิด MOU เราต้องยกเลิก ไทยจึงจะสร้างรั้วชายแดนได้ และไม่ผิดเงื่อนไขในเวทีนานาชาติ ดังนั้น ควรมาเจรจาด้วยกลไก JBC, RBC และ GBC ต่างหาก”

เมื่อถามย้ำว่าหากไทยไม่ยอม แต่กัมพูชาไปดึงประเทศที่สามอย่างสหรัฐอเมริกาเข้ามาแทรกแซง นายปานเทพ มองว่าเป็นเทคนิคของกัมพูชา และสิ่งที่กัมพูชาทำ ทั้งการยิงใส่พลเรือนไทย ทำลายโรงพยาบาล ถามว่ามีประเทศชาติใดเข้ามาแทรกแซงเพื่อหยุดยั้งอาชญากรสงครามอย่าง สมเด็จฮุน เซน และนายฮุน มาเนต หรือไม่ ก็ยังไม่มี เพราะฉะนั้นเราต้องยืนด้วยตัวเอง และอำนาจต่อรองของเราก็คือการปิดด่านเพื่อกดดันทางเศรษฐกิจโดยที่ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ซึ่งแผ่นดินไทยอยู่ที่ใดเราต้องยืนหยัด และบังคับใช้กฎหมายฝั่งไทยอย่างที่เราควรจะต้องใช้.