“รังสิมันต์” จี้ “นายกฯ อนุทิน” แก้ปัญหาส่วยสัญชาติ ส่อเกี่ยวพันมหาดไทย หากปล่อยอาจถูกกล่าวหามีส่วนรู้เห็น เหตุตั้ง คกก.สอบแล้วแต่เรื่องเงียบ ยัน กมธ.ความมั่นคงฯ ตรวจสอบเต็มที่


วันที่ 8 ตุลาคม 2568 นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงวาระการประชุมคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ในวันนี้ว่า มีปัญหาเรื่องส่วยสัญชาติ ซึ่งเป็นการติดตามเร่งรัดบุคคลที่จะต้องได้สัญชาติที่ยังเป็นปัญหาอยู่ ถ้าพูดถึงการเร่งรัดสถานะบุคคล เราได้รับความร่วมมือ มีการให้สัญชาติกับบุคคลที่ควรจะได้สัญชาติอยู่แล้ว 480,000 คน แต่ที่ผ่านมาแม้จะมีกระบวนการเร่งรัด ก็ยังมีปัญหาบางพื้นที่อาจราบรื่น แต่ยังมีบางพื้นที่มีปัญหาในเรื่องของกระบวนการขั้นตอนราชการ อาจมีช่องว่างที่ทำให้เกิดการเรียกเงินกับบุคคลที่ควรจะได้รับสัญชาติ

เมื่อถามถึงปัญหาที่เจอขณะนี้ในเรื่องส่วยสัญชาติ นายมานพ คีรีภูวดล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวว่า ส่วนใหญ่จะอยู่ในขั้นตอนของผู้นำชุมชน เป็นกลุ่มคนเดิมๆ ที่เคยมีผลประโยชน์หากินกับเรื่องนี้ แต่ไม่ถึงหน่วยราชการ ซึ่งข้อมูลที่เราได้รับมาก็ได้ประสานไปยังแต่ละจังหวัด ทางอธิบดีกรมการปกครองก็ได้ลงไปติดตามเรื่องนี้ เพื่อป้องปรามไม่ให้เกิดส่วยสัญชาติ

ในกรณีที่ตนได้รับจะประสานไปยังจังหวัดทันที นายอำเภอก็จะลงไปปฏิบัติการทันที วันนี้เราจะเห็นความก้าวหน้า และอุปสรรคเป็นอย่างไร รวมถึงข้อร้องเรียนจากประชาชน ซึ่งการเสนองบประมาณที่ผ่านมาอยากให้เป็นโครงการเฉพาะสำหรับการแก้ปัญหาเรื่องสถานะบุคคลและสัญชาติ ซึ่งเราอยากให้มีเจ้าหน้าที่ทำงานเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงจำเป็นต้องมีบุคลากรนอกเหนือจากบุคลากรเดิมที่ทำงานเกี่ยวกับสัญชาติ และการระบุสถานะบุคคลอยู่แล้ว ซึ่งในที่ประชุมจะได้หารือกันเรื่องนี้ด้วย ส่วนเรื่องส่วยคิดว่ามีอยู่เกือบทุกพื้นที่ แต่เอาเข้าจริงเราหาหลักฐานไม่ได้หรือมีหลักฐานที่ไม่สมบูรณ์พอที่จะนำไปสู่การดำเนินการ แต่หลักฐานที่มีก็จะส่งไปให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่อไป

...

จากนั้น นายรังสิมันต์ กล่าวเสริมว่า ตอนนี้มีการเรียกเก็บส่วยกันตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไป ซึ่งการดำเนินการไม่ง่าย พยายามทำให้สาวไม่ถึงตัวการ แต่ก็มีข้อร้องเรียนเรื่องนี้จำนวนมาก จึงมองว่าถ้าไม่มีมูลคงไม่มีการบอกเล่าจากชาวบ้าน แต่เรื่องสถานะบุคคลต้องย้ำว่าบุคคลเหล่านี้ควรจะได้อยู่แล้ว อยู่ในขั้นตอนกระบวนการที่ต้องได้ เพียงแต่เดิมที่ต้องพิสูจน์อะไรเยอะแยะ เสียทั้งเงินภาษีประชาชนเสียเวลา ที่บอกว่าให้ไปก่อนแล้วมาสอยทีหลัง ใครที่มีปัญหา ใครที่ได้มาด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง มีกระบวนการติดตามอยู่แล้ว

นายมานพ เผยอีกว่า มติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 มีฐานข้อมูลของกรมการปกครองอยู่แล้วไม่ได้เกี่ยวกับแรงงานต่างด้าว ไม่ได้เกี่ยวกับบุคคลที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย เพราะฉะนั้นกลุ่มคนเหล่านี้คือกลุ่มคนที่จะได้รับสัญชาติอยู่แล้ว ไม่ใช่การให้สัญชาติกับเมียนมาหรือต่างด้าวที่หลายคนเข้าใจผิด

ขณะเดียวกัน นายรังสิมันต์ ระบุด้วยว่า ตอนนี้เราต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แน่นอนว่าระดับในระบบราชการยังมีอยู่ แต่จะไกลขนาดไหนก็ต้องตรวจสอบ เรื่องการทุจริตแบบนี้ถ้าไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่ส่งสัญญาณมาก็ไม่ค่อยมีใครกล้า เพราะฉะนั้นก็ต้องตรวจสอบ แต่เบื้องต้นเราพร้อมที่จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่นายมานพที่ได้รับเรื่องร้องเรียน แต่เรายังไม่เห็นความคืบหน้า กมธ. จึงต้องทำเรื่องนี้ ซึ่งจะทำการตรวจสอบเรื่องนี้ให้เต็มความสามารถ

“เรื่องการทุจริตตอนนี้มีในส่วนที่อาจจะเกี่ยวพันกับกระทรวงมหาดไทย ผมคิดว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่เป็นนายกรัฐมนตรีและเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้ ถ้าปล่อยไว้อาจจะถูกมองว่าไปเกี่ยวข้อง และถูกกล่าวหาได้ว่ามีส่วนรู้เห็นในเรื่องของการทุจริตคอร์รัปชัน”

ตอนท้าย นายรังสิมันต์ ยังกล่าวอีกว่า ที่ต้องพูดแรงแบบนี้เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องลับ เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้และรู้ถึงขนาดที่ว่ามีการตั้งคณะกรรมการสอบแล้วแต่ยังเงียบ คำถามคือคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีจะดำเนินการอย่างไร ถ้าไม่ดำเนินการจะปล่อยให้เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติในกระทรวงมหาดไทยใช่หรือไม่ ก็จะกลายเป็นว่าสุดท้ายนโยบายที่อยากจะรักษาหลักนิติธรรมต้องการที่จะแก้ปัญหาคอร์รัปชันก็ไม่ใช่เรื่องจริง เป็นเพียงลมปากที่พูดอย่างไรก็ได้ให้สวยให้หล่อ.