“นิกร” ชี้ ร่างแก้รัฐธรรมนูญพรรคประชาชน ส่อขัดคำวินิจฉัยศาลรธน. พบ 4 กฎหมายหลัก ขวางทำประชามติแก้รธน.พ่วงเลือกตั้ง สส. หวั่นกระทบ MOA ยุบสภาไม่ได้ใน 4 เดือน
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 7 ต.ค. 2568 ที่รัฐสภา นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะอดีตเลขานุการคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ แถลงถึงกรณีที่ประชุมรัฐสภา นัดประชุมในวันที่ 14-15 ต.ค.2568 เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ในวาระแรกที่ขณะนี้มี 3 พรรคการเมืองเสนอร่างแก้ไขให้รัฐสภาพิจารณา ว่า ตนมองว่ากรณีนี้อาจจะมีประเด็นปัญหา โดยเฉพาะเนื้อหาของร่างแก้ไขเพิ่มเติมของพรรคประชาชนที่กำหนดให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) จำนวน 100 คนมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ส่อว่าอาจจะขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญล่าสุดได้ ส่วนในรายละเอียดของการแก้ไขรัฐธรรมนูญยังมีประเด็นเรื่องเงื่อนไขด้านเวลา ที่อาจทำให้ไม่สามารถทำประชามติเพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พร้อมกับการเลือกตั้ง สส.ทั่วไป หลังยุบสภา ตามที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และ รมว.มหาดไทย ระบุว่าภายในเดือน ม.ค. 2569 ได้
พบ 4 กฎหมาย ขวางทำประชามติ
นายนิกร กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีกฎหมาย 4 ฉบับที่ไม่สอดคล้องกัน คือ
1.รัฐธรรมนูญ ซึ่งตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อ 10 ก.ย. 2568 กำหนดให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เริ่มต้นจากรัฐสภา ดังนั้นกระบวนการต้องมาจากรัฐสภา ไม่ใช่เริ่มมาจากรัฐบาลได้
2.กฎหมายเลือกตั้ง สส. กำหนดให้เมื่อมีการยุบสภาต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ ในระยะเวลา 45-60 วัน ดังนั้นหากยุบสภา วันที่ 31 ม.ค. 2569 วันเลือกตั้ง สส.ทั่วไปอาจจะเกิดในวันอาทิตย์ ที่ 29 มี.ค. 2569
...
3.กฎหมายประชามติที่ขณะนี้ยังเป็นเนื้อหาฉบับเก่า ซึ่งกำหนดให้ต้องมีระยะเวลาก่อนทำประชามติไม่น้อยกว่า 90 วัน ซึ่งไม่สามารถทำในวันเดียวกันกับการเลือกตั้ง สส.ได้
นายนิกร กล่าวด้วยว่า แม้ว่าร่างกฎหมายประชามติฉบับแก้ไข จะปรับเนื้อหาให้ทำพร้อมกับการเลือกตั้งและปรับระยะเวลาที่ต้องทำภายใน 60-150 วันได้ แต่ขณะนี้ร่างแก้ไขพ.ร.บ.ประชามติยังไม่มีผลบังคับใช้ และ 4.ข้อบังคับการประชุมรัฐสภาว่าด้วยการประชุมเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
หวั่นกระทบ MOA
“หากรัฐสภา นัดประชุมวาระแรกเพื่อพิจารณาแก้รัฐธรรมนูญ 14-15 ต.ค.2568 และต้องลงมติในวันที่ 15 ต.ค. ว่า จะรับหลักการหรือไม่ และตั้งกรรมาธิการ ผมเชื่อว่า กมธ.จะมีเวลาทำงานในช่วงเดือน พ.ย. จนถึงวันที่ 12 ธ.ค.2568 ที่จะเปิดสมัยประชุม ทั้งนี้รัฐสภาจะประชุมนัดแรกหลังเปิดสมัยได้ในวันที่ 17 ธ.ค. 2568เพื่อพิจารณาวาระสอง จากนั้นต้องพักไว้ 15 วัน เพื่อลงมติว่า จะเห็นชอบทั้งฉบับหรือไม่ ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในช่วงปลายเดือนธ.ค.นี้ ดังนั้น แม้จะผ่านการนำไปทำประชามติได้ตามกฎหมายฉบับเดิมต้องมีเวลาไม่น้อยกว่า 90 วัน ดังนั้นหากยุบสภาเวลาที่ใช้ทำประชามติเพื่อถามประชาชนต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามคำถามแรก และคำถามที่สองจะไม่สามารถทำได้” นายนิกร กล่าว และว่า
แนะเปิดประชุมสมัยวิสามัญ
ตนมองว่ามีทางออกคือ อาจต้องให้รัฐสภาเปิดสมัยประชุมวิสามัญ ในช่วงกลางเดือน พ.ย.2568 เพื่อพิจารณาวาระสอง ขณะที่วาระสามนั้นสามารถทำได้ในช่วงเปิดสมัยประชุม ซึ่งตนมองว่าจะทำให้มีเวลาเพียงพอต่อการทำประชามติเรื่องแก้รัฐธรรมนูญพร้อมกับการเลือกตั้ง สส.ทั่วไปในเดือน มี.ค. 2569 ได้ อย่างไรก็ดีประเด็นทางกฎหมายที่ขัดกันนั้น หากไม่หาวิธีแก้ไขให้ดี อาจทำให้กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญล้มทั้งยืน เพราะอาจมีผู้ไปยื่นร้องว่าทำผิดได้
เมื่อถามว่า กรณีที่ระบุนี้ มองว่าอาจต้องเลื่อนการยุบสภาหรือไม่ นายนิกร กล่าวว่า ตนไม่พูดตรงนั้น เพราะจะทำให้ผิดคำพูดตามข้อตกลงทางการเมือง (MOA) ระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน ที่กำหนดว่าจะยุบสภาภายใน 4 เดือน แต่หากไม่พิจารณาหาทางแก้ไขให้ดีอาจทำให้เป็นประเด็นที่ต้องขยับเงื่อนไขยุบสภาตามที่ข้อตกลงทางการเมืองระบุไว้